นิยายแต่งจบแล้วค่ะ กดรับ link ที่รูปภาพนี้เลยนะคะ สู้ๆ
บทที่ 3
นี่จึงเป็นที่มาว่า .. พอสิ้นบุญคุณวรารันกันไปอีกคน คุณธันวาจึงได้รับอุปการะเหมันต์ดุจบุตรชายอีกผู้หนึ่งของเขาเองก็ไม่ปาน
"ครั้งนี้.."
ดูเหมือนคนจะพูดเองก็พยายามกล้ำกลืนความรู้สึก
"ครั้งนี้พี่ต้นหายไปนานจังค่ะ ไหนเคยสัญญากับคุณน้ำเอาไว้ บอกว่า จะกลับมาบ้านทุกเดือน"
ดวงตาใหญ่ กว้าง ดำขลับ ทว่ามีร่องรอยหม่นหมองที่เจ้าของเองก็คงพยายามซ่อนเอาไว้แต่ไม่มิด .. หันกลับมามอง หากแต่ 'ความในใจ' ก็ทำให้มิอาจมองน้องสาวได้เต็มตา
"คำสัญญาที่พี่เองก็พยายามรักษา แต่พี่เคยบอกคุณน้ำแล้วว่าคนเราบางครั้งก็ไม่มีอำนาจเพียงพอที่จะรักษาทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ได้ทั้งหมด .. คำที่พี่เคยสัญญา.."
ฝืนยิ้มปลอบประโลมคนตัวเล็กบอบบางด้านข้าง
"หากไม่ใช่เพราะน้องน้อยของพี่ฟังแล้วจะไม่ดื้อรั้น ไม่งอแง ฟังแล้วสบายใจขึ้น .. พี่ก็ยินดีที่จะสัญญาค่ะ"
"ยินดี .. แม้ว่านั่นจะเป็นการลดทอนความเชื่อถือ ความไว้ใจซึ่งกันและกันงั้นหรือคะ?" คนเป็นน้องสาวหรุบตาลงต่ำ
"ไม่เอาสิคะคนดี ทุกการกระทำของคนเป็นพี่ชายอย่างพี่ .. เชื่อเถอะว่า อะไรที่ดีงาม เหมาะสม คู่ควรกันกับน้องสาวของพี่คนนี้ .. พี่ยินดีกระทำให้เสมอ"
"พี่ต้นก็ทราบ คุณน้ำ..ไม่อยาก.."
หยุดไปแค่นั้น เพราะคนพูดคงจะกล้ำกลืนความรู้สึกอยู่ไม่ไหว
……..✿❧
เฮ้!! คุณครับ
..พวกคุณ ๆ ที่เดินผ่านกันไปมากันอยู่แหละ
ผมมีคำถามอยากถามน่ะว่า ..
บนหนทางที่ผ่าน ๆ คุณเคยพบเห็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกคนหนึ่งบ้างไหม?
และถ้าหากว่า .. พวกคุณบังเอิญพบเธอ ..
.. เธอกำลังร้องไห้อยู่หรือเปล่า?
ช่วยบอกเธอ .. แทนผมหน่อยสิครับ
บอกเธอว่า .. ผมขอโทษ .. ผมเสียใจ
ไม่ว่าจะอย่างไรผมก็อยากให้เธออยู่เคียงข้างเสมอ ..
โธ่ .. คุณจะไม่บอกเธอให้ผมหน่อยหรือ ว่าผม .. รักเธอนะ
เสียงทุ้ม นุ่ม .. แผ่วเศร้าเคล้าคลอมากับเสียงกีตาร์โปร่งตัวโปรดของพี่ชาย ที่มักใช้เล่นบ่งบอกอารมณ์ผู้เป็นเจ้าของในยามที่อัดอั้นตันใจกระไรในบางครั้ง
กลิ่นราตรีที่ปลายระเบียงเรือนไม้สีขาวหลังเล็ก .. เริ่มส่งกลิ่นละมุนมาตามลมแผ่วพริ้ว ฉุดรั้งให้ปลายเท้าบอบบางชะงักสักเพียงครู่ ก่อนจรดปลายเท้าก้าวต่อ
"พี่ต้น ..กำลังเล่นเพลงเรียกหาสาวสวยคนไหนในโลกนี้อยู่หรือคะ?"
เสียงใส ๆ เอ่ยแซวเสียงแจ๋ว ๆ เพราะเพียงเธอก้าวเลยพ้นบันไดชานเรือนไม้เก่าสีขาว ที่ชายหนุ่มเลือกมาพักยามเริ่มโตเป็นหนุ่ม .. ร่างบางโผล่พ้นขึ้นมา ผู้เป็นพี่ชายก็วางกีตาร์ .. ดุจรอต้อนรับ
"ก็ ... เรียกใครแถว ๆ นี้แหละ"
คนตอบทำท่ามองลมมองแล้งไปตามเรื่อง
"คุณแม่ให้มาตามไปรับมื้อค่ำค่ะ"
คนน้องแจ้งความเสียงแจ้ว ๆ ราวเด็กหญิงตัวน้อยมักทำเสมอในอดีตยามที่มารดาอันเป็นที่รักมีคำสั่งอ่อนหวาน
'ไปแน่ะค่ะ..คุณน้ำ.. ไปเรียกพี่ชายมากินข้าวกินปลากันเถอะไป คงเพิ่งเลิกเรียนกลับมาซะเย็นค่ำ ป่านนี้จะหิวโงกเสียแล้วล่ะก็ไม่รู้'
แล้วเด็กหญิงสายธารก็จะวิ่งจนหางเปียปลิวไหว ๆ วิ่งซุกซุนตามหาพี่ชายไปทั่ว
"ป้าแก้วทำยำเล็บมือนางให้ชิมเมื่อบ่ายน่ะ ยังอิ่มอยู่เลย"
ปากพูด แต่ร่างสูงก็เตรียมขยับลุก เพราะให้อย่างไรก็มิอาจขัดความมีน้ำใจต่อบุคคลผู้มีพระคุณทั้งสองท่านได้เด็ดขาด ฉะนั้น ไม่ว่าเรื่องที่ขอหรือสั่งมา ไม่ว่าจะเล็กจะน้อย เหมันต์จึงมิมีวันเห็นเป็นผิดหรือกล้าปฏิเสธได้เต็มคำเลยสักครั้ง
"ป้าแก้วลำเอียง ทีของคุณน้ำได้แค่เกี๊ยวน้ำ"
สาวน้อยทำปากยื่นไปยังปลายระเบียงอีกด้าน ที่แม่นมกำลังสาละวนสั่งเด็กสาวรุ่นขัดเครื่องเรียงจานง่วนอยู่ จนไม่ทันได้สังเกตเห็นสาวน้อยทูนหัวของนางเดินเลาะมาในคราวนี้
"ก็คุณน้ำกินเผ็ดไม่เก่ง"
พี่ชายอมยิ้ม เป็นเชิงแกล้งเยาะเย้ย
"คุณน้ำกินได้"
เถียงเสียงอ่อย
"ได้นิดเดียว แค่พอผงพริกแตะติดปลายช้อน"
คนพี่ไม่เคยยอมให้น้องน้อยของเขาสักเท่าไร ในเรื่องที่มักกะเย่อกะเหย่งเถียง
"พี่ต้นดูผอมลงจังค่ะ ที่โน้นอาหารไม่อร่อยนักหรือ?"
ผู้น้องเปลี่ยนเรื่อง เพราะพอพี่ชายเปลี่ยนมาอยู่ใต้ชุดอยู่บ้านด้วยเสื้อยืดสีขาวคอกลม กับกางเกงขาสั้นสีเข้มกว่า ก็ทำให้ร่างสูงตรงดูซูบซีดขึ้นผิดตาจากแต่ก่อน จนน้องน้อยตีหน้าเหยด้วยความเป็นห่วงพี่ชายไม่วายเว้น
"งานยุ่งมาก เศรษฐกิจกำลังมีปัญหา แถมบริษัทก็ยังมามีลูกค้าลดลง พี่เลยต้องวิ่งเจรจาช่วยคุณอาอาคมวิ่งหาลูกค้าใหม่ ๆ"
ผู้ทำหน้าที่สถาปนิกคนเก่งในเครือบริษัทฯที่รับเหมาก่อสร้างของคุณธันวาเอยเสียงอ่อน เสมือนเป็นการชี้แจง .. แก้ตัวถึงสาเหตุที่ตนต้องหายตัวไปเนิ่นนาน เพราะพอหลังจากเรียนจบ เหมันต์ที่เลือกเรียนด้านสถาปนิกเพราะหัวสมองให้ จบมาก็จึงรับอาสาไปดูแลสาขาทางภาคตะวันออกกลางตอนบนที่กำลังเปิดสู่การค้าเสรีไร้พรมแดน หากแต่เพราะพิษเศรษฐกิจช่วงนี้ การติดต่อเจรจาเซ็นสัญญาต่าง ๆ จึงดูยากเย็นแสนเข็ญและมีจำนวนลดลง ... ด้วยเหตุนี้ แม้คนที่มิได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรง หากแต่เป็น การทำเพื่อช่วยเหลือผู้มีพระคุณ อะไรที่พอหยิบจับช่วยทำได้ เหมันต์ก็มิคิดที่จะละเลย
"มาครั้งนี้ พี่ต้นจะอยู่ได้นานไหม?"
แม้เสียงจะยังดูใส แต่มิอาจปกปิดความกล้ำกลืน
ก่อนนี้พี่ชายก็เคยกลับมา แต่ทว่ามักจะอยู่เพียงแป็บ ๆ นานสุดก็แค่เพียงวันหรือแค่สองวัน
"ครั้งนี้คงอยู่ได้หลายวันค่ะ เพราะคุณลุงเรียกให้พี่กลับมาช่วยดูแลการตกแต่งเรือน .. ทับทิมให้คุณน้ำ" คนตอบละคำ ว่า 'เรือนหอ' เอาไว้อย่างผู้ที่อยากจะพูดแต่พูดไม่ใคร่เต็มเสียง
"ไปเถอะ กินข้าวกัน พี่ชักเริ่มจะหิวแล้วสิ ยิ่งได้ยินป้าแก้วคุยว่าวันนี้ตั้งแกงเขียวหวานกับผัดฉ่าปลาดุกของโปรดไว้ให้พี่ ว่าแต่ว่า จะหุงข้าวไว้พอหรือเปล่าหนอ เพราะอยู่ที่โน่น อาหารไม่ค่อยถูกปาก .. ป้าแก้วทำอะไรปราณีตจนพี่จะติดเป็นนิสัย จนไปชิมฝีมือใครก็เลยไม่ค่อยจะคล่องคอสักนิดเลย"
พี่ชายพูดเสียงดังกลบร่องรอยในใจก่อนหน้า ราวกับจะใช้มันขับไล่อะไรบางอย่างไปเสียด้วยกันกับเสียงที่ทำให้ดูสดใสลั่น ๆ นั้น
"ป้าแก้วครับ เดี๋ยวพอผมทานข้าวเสร็จแล้วจะรีบกลับมาช่วยดูหลอดไฟที่ห้องน้ำให้นะครับ ผมว่าแสงมันชักอ่อน ๆ มัว ๆ อย่างไรพิกล แสดงว่าใกล้จะหมดอายุการใช้งานล่ะ ยิ่งพักนี้ป้าบ่นว่าหูตาแย่ ไม่ค่อยดี หากเกิดไฟดับไปกระทันหันช่วงที่ผมไม่อยู่.. เกิดลื่นล้มไปป้าแก้วจะลำบาก"
คนพูดรู้จักห่วงใยใส่ใจคนรอบข้างอย่างรอบครอบ
พอพูดถึงตรงนี้ คนที่สาละวนเดินสั่งโน่นนี่จึงได้เงยหน้ามาเห็น 'ทูนหัว' ของตนเองก็ครานี้
"ขอบคุณค่ะคุณต้น อ่ะ..อ้าว!! ต้าย! คุณน้ำเดินมาตอนไหนกันคะ ป้าแก้วไม่เห็น ดูสิ..มัวแต่ยุ่งวุ่นวายเตรียมนับเครื่องเงินเครื่องทองมาขัด กลัวจะไม่ทันวันงานรับขันคุณน้ำแหนะค่ะ" หันซ้ายหันขวา เพราะห่วงลูกมือจะหลุดลื่นมือทำของที่ขัดที่ถือตก "ทานอะไรมาหรือยังคะ อ๋อ!! ตายจริง นี่มันเวลามื้อค่ำแล้วนี่ แย่จริง คนแก่คนเฒ่าก็งี้ล่ะ หลงลืมวันเวลากัน ง่ายดายเหลือเกิน"
คนเป็นแม่นมร่วมของทั้งสองบ่นเหยียดยาวได้ตามประสา
แต่คำว่า 'ขัดเครื่องเงินเครื่องทองเตรียมรับขัน' ทำให้ผู้ฟังทั้งสองต่างคนต่างเมินหน้าไปกันคนละทาง
ต่างคนต่างความรู้สึก .. ไม่ต่างกัน
นี่จึงเป็นที่มาว่า .. พอสิ้นบุญคุณวรารันกันไปอีกคน คุณธันวาจึงได้รับอุปการะเหมันต์ดุจบุตรชายอีกผู้หนึ่งของเขาเองก็ไม่ปาน
"ครั้งนี้.."
ดูเหมือนคนจะพูดเองก็พยายามกล้ำกลืนความรู้สึก
"ครั้งนี้พี่ต้นหายไปนานจังค่ะ ไหนเคยสัญญากับคุณน้ำเอาไว้ บอกว่า จะกลับมาบ้านทุกเดือน"
ดวงตาใหญ่ กว้าง ดำขลับ ทว่ามีร่องรอยหม่นหมองที่เจ้าของเองก็คงพยายามซ่อนเอาไว้แต่ไม่มิด .. หันกลับมามอง หากแต่ 'ความในใจ' ก็ทำให้มิอาจมองน้องสาวได้เต็มตา
"คำสัญญาที่พี่เองก็พยายามรักษา แต่พี่เคยบอกคุณน้ำแล้วว่าคนเราบางครั้งก็ไม่มีอำนาจเพียงพอที่จะรักษาทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ได้ทั้งหมด .. คำที่พี่เคยสัญญา.."
ฝืนยิ้มปลอบประโลมคนตัวเล็กบอบบางด้านข้าง
"หากไม่ใช่เพราะน้องน้อยของพี่ฟังแล้วจะไม่ดื้อรั้น ไม่งอแง ฟังแล้วสบายใจขึ้น .. พี่ก็ยินดีที่จะสัญญาค่ะ"
"ยินดี .. แม้ว่านั่นจะเป็นการลดทอนความเชื่อถือ ความไว้ใจซึ่งกันและกันงั้นหรือคะ?" คนเป็นน้องสาวหรุบตาลงต่ำ
"ไม่เอาสิคะคนดี ทุกการกระทำของคนเป็นพี่ชายอย่างพี่ .. เชื่อเถอะว่า อะไรที่ดีงาม เหมาะสม คู่ควรกันกับน้องสาวของพี่คนนี้ .. พี่ยินดีกระทำให้เสมอ"
"พี่ต้นก็ทราบ คุณน้ำ..ไม่อยาก.."
หยุดไปแค่นั้น เพราะคนพูดคงจะกล้ำกลืนความรู้สึกอยู่ไม่ไหว
……..✿❧
เฮ้!! คุณครับ
..พวกคุณ ๆ ที่เดินผ่านกันไปมากันอยู่แหละ
ผมมีคำถามอยากถามน่ะว่า ..
บนหนทางที่ผ่าน ๆ คุณเคยพบเห็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกคนหนึ่งบ้างไหม?
และถ้าหากว่า .. พวกคุณบังเอิญพบเธอ ..
.. เธอกำลังร้องไห้อยู่หรือเปล่า?
ช่วยบอกเธอ .. แทนผมหน่อยสิครับ
บอกเธอว่า .. ผมขอโทษ .. ผมเสียใจ
ไม่ว่าจะอย่างไรผมก็อยากให้เธออยู่เคียงข้างเสมอ ..
โธ่ .. คุณจะไม่บอกเธอให้ผมหน่อยหรือ ว่าผม .. รักเธอนะ
เสียงทุ้ม นุ่ม .. แผ่วเศร้าเคล้าคลอมากับเสียงกีตาร์โปร่งตัวโปรดของพี่ชาย ที่มักใช้เล่นบ่งบอกอารมณ์ผู้เป็นเจ้าของในยามที่อัดอั้นตันใจกระไรในบางครั้ง
กลิ่นราตรีที่ปลายระเบียงเรือนไม้สีขาวหลังเล็ก .. เริ่มส่งกลิ่นละมุนมาตามลมแผ่วพริ้ว ฉุดรั้งให้ปลายเท้าบอบบางชะงักสักเพียงครู่ ก่อนจรดปลายเท้าก้าวต่อ
"พี่ต้น ..กำลังเล่นเพลงเรียกหาสาวสวยคนไหนในโลกนี้อยู่หรือคะ?"
เสียงใส ๆ เอ่ยแซวเสียงแจ๋ว ๆ เพราะเพียงเธอก้าวเลยพ้นบันไดชานเรือนไม้เก่าสีขาว ที่ชายหนุ่มเลือกมาพักยามเริ่มโตเป็นหนุ่ม .. ร่างบางโผล่พ้นขึ้นมา ผู้เป็นพี่ชายก็วางกีตาร์ .. ดุจรอต้อนรับ
"ก็ ... เรียกใครแถว ๆ นี้แหละ"
คนตอบทำท่ามองลมมองแล้งไปตามเรื่อง
"คุณแม่ให้มาตามไปรับมื้อค่ำค่ะ"
คนน้องแจ้งความเสียงแจ้ว ๆ ราวเด็กหญิงตัวน้อยมักทำเสมอในอดีตยามที่มารดาอันเป็นที่รักมีคำสั่งอ่อนหวาน
'ไปแน่ะค่ะ..คุณน้ำ.. ไปเรียกพี่ชายมากินข้าวกินปลากันเถอะไป คงเพิ่งเลิกเรียนกลับมาซะเย็นค่ำ ป่านนี้จะหิวโงกเสียแล้วล่ะก็ไม่รู้'
แล้วเด็กหญิงสายธารก็จะวิ่งจนหางเปียปลิวไหว ๆ วิ่งซุกซุนตามหาพี่ชายไปทั่ว
"ป้าแก้วทำยำเล็บมือนางให้ชิมเมื่อบ่ายน่ะ ยังอิ่มอยู่เลย"
ปากพูด แต่ร่างสูงก็เตรียมขยับลุก เพราะให้อย่างไรก็มิอาจขัดความมีน้ำใจต่อบุคคลผู้มีพระคุณทั้งสองท่านได้เด็ดขาด ฉะนั้น ไม่ว่าเรื่องที่ขอหรือสั่งมา ไม่ว่าจะเล็กจะน้อย เหมันต์จึงมิมีวันเห็นเป็นผิดหรือกล้าปฏิเสธได้เต็มคำเลยสักครั้ง
"ป้าแก้วลำเอียง ทีของคุณน้ำได้แค่เกี๊ยวน้ำ"
สาวน้อยทำปากยื่นไปยังปลายระเบียงอีกด้าน ที่แม่นมกำลังสาละวนสั่งเด็กสาวรุ่นขัดเครื่องเรียงจานง่วนอยู่ จนไม่ทันได้สังเกตเห็นสาวน้อยทูนหัวของนางเดินเลาะมาในคราวนี้
"ก็คุณน้ำกินเผ็ดไม่เก่ง"
พี่ชายอมยิ้ม เป็นเชิงแกล้งเยาะเย้ย
"คุณน้ำกินได้"
เถียงเสียงอ่อย
"ได้นิดเดียว แค่พอผงพริกแตะติดปลายช้อน"
คนพี่ไม่เคยยอมให้น้องน้อยของเขาสักเท่าไร ในเรื่องที่มักกะเย่อกะเหย่งเถียง
"พี่ต้นดูผอมลงจังค่ะ ที่โน้นอาหารไม่อร่อยนักหรือ?"
ผู้น้องเปลี่ยนเรื่อง เพราะพอพี่ชายเปลี่ยนมาอยู่ใต้ชุดอยู่บ้านด้วยเสื้อยืดสีขาวคอกลม กับกางเกงขาสั้นสีเข้มกว่า ก็ทำให้ร่างสูงตรงดูซูบซีดขึ้นผิดตาจากแต่ก่อน จนน้องน้อยตีหน้าเหยด้วยความเป็นห่วงพี่ชายไม่วายเว้น
"งานยุ่งมาก เศรษฐกิจกำลังมีปัญหา แถมบริษัทก็ยังมามีลูกค้าลดลง พี่เลยต้องวิ่งเจรจาช่วยคุณอาอาคมวิ่งหาลูกค้าใหม่ ๆ"
ผู้ทำหน้าที่สถาปนิกคนเก่งในเครือบริษัทฯที่รับเหมาก่อสร้างของคุณธันวาเอยเสียงอ่อน เสมือนเป็นการชี้แจง .. แก้ตัวถึงสาเหตุที่ตนต้องหายตัวไปเนิ่นนาน เพราะพอหลังจากเรียนจบ เหมันต์ที่เลือกเรียนด้านสถาปนิกเพราะหัวสมองให้ จบมาก็จึงรับอาสาไปดูแลสาขาทางภาคตะวันออกกลางตอนบนที่กำลังเปิดสู่การค้าเสรีไร้พรมแดน หากแต่เพราะพิษเศรษฐกิจช่วงนี้ การติดต่อเจรจาเซ็นสัญญาต่าง ๆ จึงดูยากเย็นแสนเข็ญและมีจำนวนลดลง ... ด้วยเหตุนี้ แม้คนที่มิได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรง หากแต่เป็น การทำเพื่อช่วยเหลือผู้มีพระคุณ อะไรที่พอหยิบจับช่วยทำได้ เหมันต์ก็มิคิดที่จะละเลย
"มาครั้งนี้ พี่ต้นจะอยู่ได้นานไหม?"
แม้เสียงจะยังดูใส แต่มิอาจปกปิดความกล้ำกลืน
ก่อนนี้พี่ชายก็เคยกลับมา แต่ทว่ามักจะอยู่เพียงแป็บ ๆ นานสุดก็แค่เพียงวันหรือแค่สองวัน
"ครั้งนี้คงอยู่ได้หลายวันค่ะ เพราะคุณลุงเรียกให้พี่กลับมาช่วยดูแลการตกแต่งเรือน .. ทับทิมให้คุณน้ำ" คนตอบละคำ ว่า 'เรือนหอ' เอาไว้อย่างผู้ที่อยากจะพูดแต่พูดไม่ใคร่เต็มเสียง
"ไปเถอะ กินข้าวกัน พี่ชักเริ่มจะหิวแล้วสิ ยิ่งได้ยินป้าแก้วคุยว่าวันนี้ตั้งแกงเขียวหวานกับผัดฉ่าปลาดุกของโปรดไว้ให้พี่ ว่าแต่ว่า จะหุงข้าวไว้พอหรือเปล่าหนอ เพราะอยู่ที่โน่น อาหารไม่ค่อยถูกปาก .. ป้าแก้วทำอะไรปราณีตจนพี่จะติดเป็นนิสัย จนไปชิมฝีมือใครก็เลยไม่ค่อยจะคล่องคอสักนิดเลย"
พี่ชายพูดเสียงดังกลบร่องรอยในใจก่อนหน้า ราวกับจะใช้มันขับไล่อะไรบางอย่างไปเสียด้วยกันกับเสียงที่ทำให้ดูสดใสลั่น ๆ นั้น
"ป้าแก้วครับ เดี๋ยวพอผมทานข้าวเสร็จแล้วจะรีบกลับมาช่วยดูหลอดไฟที่ห้องน้ำให้นะครับ ผมว่าแสงมันชักอ่อน ๆ มัว ๆ อย่างไรพิกล แสดงว่าใกล้จะหมดอายุการใช้งานล่ะ ยิ่งพักนี้ป้าบ่นว่าหูตาแย่ ไม่ค่อยดี หากเกิดไฟดับไปกระทันหันช่วงที่ผมไม่อยู่.. เกิดลื่นล้มไปป้าแก้วจะลำบาก"
คนพูดรู้จักห่วงใยใส่ใจคนรอบข้างอย่างรอบครอบ
พอพูดถึงตรงนี้ คนที่สาละวนเดินสั่งโน่นนี่จึงได้เงยหน้ามาเห็น 'ทูนหัว' ของตนเองก็ครานี้
"ขอบคุณค่ะคุณต้น อ่ะ..อ้าว!! ต้าย! คุณน้ำเดินมาตอนไหนกันคะ ป้าแก้วไม่เห็น ดูสิ..มัวแต่ยุ่งวุ่นวายเตรียมนับเครื่องเงินเครื่องทองมาขัด กลัวจะไม่ทันวันงานรับขันคุณน้ำแหนะค่ะ" หันซ้ายหันขวา เพราะห่วงลูกมือจะหลุดลื่นมือทำของที่ขัดที่ถือตก "ทานอะไรมาหรือยังคะ อ๋อ!! ตายจริง นี่มันเวลามื้อค่ำแล้วนี่ แย่จริง คนแก่คนเฒ่าก็งี้ล่ะ หลงลืมวันเวลากัน ง่ายดายเหลือเกิน"
คนเป็นแม่นมร่วมของทั้งสองบ่นเหยียดยาวได้ตามประสา
แต่คำว่า 'ขัดเครื่องเงินเครื่องทองเตรียมรับขัน' ทำให้ผู้ฟังทั้งสองต่างคนต่างเมินหน้าไปกันคนละทาง
ต่างคนต่างความรู้สึก .. ไม่ต่างกัน