วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2563

MY SWEET LADY : น้องน้อยที่รัก ✿❧ บทที่ 1

นิยายแต่งจบแล้วค่ะ กดรับ link ที่รูปภาพนี้เลยนะคะ สู้ๆ

บทที่ 1

เส้นแนวนอน


สายลมพัดเอื่อย ๆ เรื่อยเข้าสู่ใต้ร่มซุ้มเขียวแซมชมพู ของดอกเล็บมือนาง .. ส่งกลิ่นหอมละมุนมากับสายลมเย็นที่พัดผ่านสระน้ำกว้างมาอยู่เป็นระยะ ๆ ... กอบัวประดับสีม่วงชูช่ออยู่ไหว ๆ ไปตามแรงลมเบาที่แผ่วผ่านเข้ามา
ร่างเล็กบอบบางในชุดเสื้อกับกระโปรงติดกันลายดอกสีชมพูอมม่วง มองเผิน ๆ จะดูราวกับเด็กสาวมากกว่าสาวน้อยผู้ซึ่งกำลังจะเรียนจบมหาวิทยาลัยในไม่อีกกี่เดือนข้างหน้า .. 
เอื้อมมือบางมาปิดหนังสือตำราเรียนเล่มหนา .. อ่อนล้าจากการคร่ำเคร่ง
หยิบแก้วน้ำส้มคั้นที่เด็กสาวรุ่น ๆ เพิ่งจะนำมาวางไว้ให้คู่กันกับกระทงทองไส้กุ้งสับ ซึ่งเป็นของว่างสำหรับวันนี้ และก็แน่นอน ที่เด็กนั่นคงได้รับคำสั่งมาจากป้าแก้ว .. แม่นมคนดีของเธอนั่นน่ะแหละ 
วางแก้วก่อนทิ้งร่างกลับลงสู่หมอนอิงพิงชิงช้าไม้สีขาวตัวใหญ่ ที่ถูกตั้งไว้นั่งเล่นนอนเล่นอยู่ใต้ซุ้มเล็บมือนางเก่าแก่ต้นที่ว่านี้เอง
ตาคมวับ กระจ่าง เรียวยาวราวตากวางทอดมองแลเลย เพราะถัดไปเบื้องหน้าไม่ไกลก็จะเป็นสระบัวยาวที่ขุดให้ทอดขนานไปตามถนนลาดปูนก่อนวกตัดตรงเข้าสู่ลานหน้าเรือนไม้ทรงไทยโบราณ ซึ่งสร้างจากไม้สักแดงทั้งหลัง แยกออกไปทางฝั่งขวาของบ้านใหญ่จะเป็นสนามโล่งกว้างขวาง ก่อนจะไปบรรจบกับรั้วไผ่สีทอง .. ที่อีกเช่นกันว่าหากเลยหลังจากรั้วกอไผ่ไปก็จะเป็นสระบัวทอดยาวเสมือนเป็นกำแพงป้องกันบริเวณบ้านอีกชั้นหนึ่ง
สมัยยามเป็นเด็กหญิง วัยกำลังซน 'สายธาร' ชอบนักที่จะมาวิ่งเล่น วิ่งไล่หรือแม้แต่ไล่ตะครุบครอบแมลงปอบ้าง แมลงเต่าทองบ้าง หรือไม่บางทีก็ผีเสื้อแสนสวย เก็บใส่กล่องเจาะรู สะสมไว้แข่งกันกับเด็กชายร่างสูงโย่งเป็นที่สนุกสนาน ก่อนที่สุดท้ายก็จะปล่อยพวกมันกลับไป 
ซึ่งบางตัวก็หลีกเลี่ยงไม่ได้หรอกที่จะปีกหัก ปีกแหว่งไปบ้าง จนสุดท้ายพี่ชายต้องออกกฎ 
"ใครทำแมลงปีกแหว่ง คนนั้นโดนปรับแพ้ทันที"
ครั้นพอเจ้าตัวคนออกกฎเผลอทำปีกหลุด ก็จะตะโกน 
"ว้า ไม่สนุกล่ะ ไปสอยมะม่วงจิ้มกะปิหวานดีกว่า" 
แล้วเธอก็จะได้ไปเกาะโคนต้นมะม่วงแก้ว 
..ชะเง้อชะแง้.. ปัดแขนขาหนีมดแดงหวงพวงมะม่วง .. รอพี่ชายตัวดีอยู่ที่ใต้โคนต้น
และลานตรงนี้เช่นกันที่บางคาบบางครายามหัวค่ำ ... 
เธอกับ 'เหมันต์' หรือ 'พี่ต้น' .. พี่ชายคนสนิทที่มักจะมาจับจองเอาเสื่อกกมาปูลาดนอนแผ่หราชี้ชวนดูกลุ่มดาวดวงนั้นดวงนี้ จนบางทีคนถูกซักถูกถามมาก ๆ จะเกาหัวแกรก ๆ 
ดุ เสียงขุ่น
"เลิกถาม เลิกสงสัยบ้างก็ได้นะคุณน้ำ!! เก็บคำถามเอาไว้ถามวันอื่นบ้างซี้ พี่ไม่ใช่คอมพิวเตอร์นะคะ จะได้ตอบรับคำตอบของแม่นกแก้วนกขุนทองได้ทุก ๆ คำถาม" 
"พี่ต้นเป็นคอมพิวเตอร์ไม่ได้หรอกค่ะ ก็เพราะพี่ต้นกินข้าวนี่คะ คุณน้ำไม่เคยเห็นพี่ต้นกินไฟฟ้า หรือว่ามีสายเสียบปลั๊กที่ก้นสักกะหน่อย" 
ตาใสแป๋วโต้ตอบมาทันควันเพราะเห็นตามนั้นจริง
"แสนรู้!!" 
เสียงขุ่นหนักกว่าเดิมที่โดนคนตัวเล็กกว่ายอกย้อนเอาซะได้
"พี่ต้น! นิสัยไม่ดี!! พี่ต้นว่าคุณน้ำเป็นไอ้จูปีเตอร์" 
เจ้าของชื่อคือสุนัขสี่ขาพันทางที่นายแม้นคนสวนเลี้ยงเอาไว้เอาบุญ แล้วชื่อเท่ ๆ ที่ได้มาก็เพราะพี่ชายก็คือผู้ที่ตั้งชื่อให้แก่มันนั่นเอง
"พี่ชมคุณน้ำหรอกค่ะ ว่าฉลาด" 
คนพี่โคลงหัวแถ .. แต่คนน้องเอียงคอเถียง
"ไม่จริง!!  อันนี้พี่ต้นเอาไว้ชมเจ้าจู ชมเวลามันวิ่งไปคาบกิ่งไม้มาให้พี่ต้นได้นี่คะ" จำเรื่องราวได้แม่น
"เอ้า!! ชมหมากะชมคนมันก็เหมือนกันสิ" 
พี่ชายไม่ยอมแพ้
"ไม่เหมือน!! คุณน้ำเดินสองขา เจ้าจูมันวิ่งสี่ขา" 
น้องสาวชักมีโมโห
"แล้วกินข้าวเหมือนกันหรือเปล่า?" 
เด็กชายเหมันต์หันมาตั้งคำถามเพื่อจะหาข้อเปรียบเทียบให้จงได้
"กินสิ!! คุณน้ำกินข้าวได้" 
เด็กหญิงสายธารตอบรับ ... พี่ชายยิ้ม
"แต่คุณน้ำใช้ช้อนกะส้อม เจ้าจูไม่ต้องใช้นี่นา" 
บ่งบอกได้อยู่นะว่าเด็กหญิงเองก็ฉลาดเฉลียวอยู่มากเชียวล่ะ
เป๊าะ!! 
โอ๊ะ!!
พอสิ้นเสียงดีดมะเหม่งที่สองข้างด้านหลังถูกมัดไว้เป็นเปียเล็ก ๆ สองเปีย ก็มีเสียงฮึม ๆ
"นี่แน่!! ใช้ช้อนกะส้อม! กินข้าวทียังต้องให้พี่วิ่งไล่ป้อนอยู่เลย ..ขี้ตู่ ..ขี้เถียงดีนักนะคะ!!"
พี่ชายที่อดใจไม่ไหว..หันมาดีดเหม่งน้องสาวเสียงดังลั่น 
ผลคือ…
.. แง!! .. แง!!! ..
เหมันต์ต้องรีบกระโจนมาตะครุบปากสีสดห้อยย้อยที่เมื่อกี้เถียงพี่ชายตาแป๋ว ๆ .. หากแต่บัดนี้.. คนช่างเถียงกลับมีน้ำตาระยับมาเกาะพราวแทนที่ เพราะคนเป็นพี่ชายคงฉุนจัดก็เลยลงโทษหนักมือกันไปสักหน่อย
"โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะคะ..ไม่ร้อง น้องน้อยเด็กดี น้องน้อยคนเก่ง" 
เสียงขุ่น ๆ เมื่อก่อนหน้ารีบเปลี่ยนมาเป็นพูดจาอ่อนโยน ปลอบใจ สีหน้าแลดูกังวลจนเสียงแง ๆ จึงจะค่อย ๆ ลดเบาลงจนถึงเงียบหาย แต่ยังมีอาการสะอื้นฮักให้เห็นอยู่บ้างเป็นระยะ ๆ
"ไหน .. มาให้พี่ชายดูสิคะ เจ็บมากไหม?"
น้ำเสียงอ่อน ๆ กังวลของพี่ชายที่มักหยุดชะงักน้องน้อยได้เสมอ 
แต่คนถาม ถามเพราะไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองคงลงหนักมือไปหน่อยด้วยที่ความมีอารมณ์เคืองขุ่น
มือใหญ่คร้ามเข้มดึงมือขาวบางนุ่มนิ่มเล็ก ๆ ที่กุมเหม่งไว้ออกมาดู เพราะอยากให้แน่ใจว่าไม่มีรอยปูดโนให้เห็นเป็นหลักฐานฟ้องจับผู้กระทำความผิด
เด็กหญิงพยักหน้า จนน้ำตาร่วงเผาะ ๆ จากกรอบขนตาดกหนาเป็นกระจุก ที่บัดนี้เกาะกันเป็นกลุ่ม เนื่องจากหยาดน้ำตาจับเต็ม
"มาค่ะ พี่ชายท่องคาถาเป่าเพี้ยง!! โอม..เป่าเพี้ยง ๆ หายเจ็บ .. หายเจ็บ" 
เป่ากระหม่อมหลอกน้องสาวสำเร็จก็ใช้ฝ่ามืออุ่นคลึง ๆ ให้
"ห้ามไปฟ้องแม่พี่นะคะว่าโดนพี่ดีดเหม่งมาน่ะ" 
พอต่างฝ่ายต่างสบายใจกัน คนพี่เริ่มหันซ้ายแลขวา 
กลัวใครได้ยินเสียงน้องร้องแล้วเดินมาเห็นรูปคดีและอีกทั้งคนน้องก็ปากเปราะชะมัด หากไม่มีการกำชับกำชา เตี๊ยม ดักทางกันไว้ก่อนละก็..น้องมักพาซื่อ ชอบเล่าความได้หมดตามประสาเด็กช่างพูดช่างจำ
เขาไม่อยากถูกมารดาดุหรือบ่นว่าเรื่องไม่ดูแลน้อง .. แล้วต่อไปจากนั้นก็จะมีการร่ายยาวถึงหนี้บุญคุณของเจ้าของบ้าน ซึ่งก็คือบิดาและมารดาของน้องสาวช่างซักช่างเถียงคนนี้ตามมาอีกเป็นสามสี่กระบุงโกยโน่นเลยเชียว 
เขาไม่ใช่ไม่เชื่อฟังในสิ่งที่มารดาคอยพร่ำสอน หากแต่ความเป็นเด็กผู้ชาย มันก็มีบางทีที่จะเผลอเล่นอะไรแรง ๆ ไปบ้างก็เท่านั้น
"ไม่ฟ้อง คุณน้ำไม่ใช่เด็กขี้ฟ้อง" 
ตาเปียก ๆ ปากสดแดงย้อยยืนยัน เพราะเคยมีหลายก่อนหน้าที่โดนพี่ชายปรามาสใส่หน้าอยู่เป็นประจำ
"เอ้า!! เจ้าข้าเอ้ย มาดู มาดู มีเด็กขี้ฟ้องขี้แงอยู่ตรงนี้ ตุ๊กแกเอ้ย!! มาเร็ว ๆ มากินตับเด็กขี้ฟ้อง"
แล้วเด็กชายใกล้วัยรุ่นก็มักจะทำท่าป้องปากตะโกนไปทางต้นมะขามใหญ่ ที่สายธารรู้ดีว่ามีตุ๊กแกอาศัยซ่อนอยู่