วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

เราแค่อยากรู้ว่าพี่เค้าเป็นใคร

✨☝ นิยายแต่งจบรับ eBook ได้ที่ CLICK TO GET ME NOW ได้เลย ☝✨

เขาตอบก่อนจะเดินออกไปเพื่อเป็นการตัดบท
"คุณคะ!!...." 
หญิงสาวรีบชะโงกหน้าออกมาร้องเรียกเมื่อนึกขึ้นมาได้
"คุณชื่ออะไรล่ะคะ?" 
ถามแล้วไม่รู้ตัวเองว่าทำไมต้องกลั้นหายใจเพื่อรอคำตอบ เพราะชายหนุ่มหันมามองข้ามไหล่ .. ท่าทางเขาเหมือนจะลังเลอยู่นิด ๆ ว่าจะบอกเธอดีหรือไม่
"ภูผา" 
ในที่สุดเขาก็ตอบข้ามไหล่มาสั้น ๆ 
"ฉัน...ร้อยตะวันนะคะ" 
เกือบจะตะโกนแล้ว เพราะเมื่อพูดจบชายหนุ่มก็ก้าวเดินออกไปเลย ที่น่าโมโหก็คือเขาไม่ได้หันกลับมามองดูเธออีกเลยด้วยซ้ำ!! ในตอนที่หญิงสาวเขย่งยืดร่างร้องบอกชื่อตัวเองออกไป ไม่นานนักเขาก็กลืนหายไปกับหมู่นักศึกษาร่วมรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน ในขณะที่ร้อยตะวันรู้สึก 'เหวอ' ไปนิด ๆ และยังคงนั่งเกาะพวงมาลัยรถ เอียงคอมองตามชายรุ่นพี่ที่เดินหายไปกับหมู่ชนหนุ่มสาวนั่นอย่างครุ่นคิด
อิตานี่นิ!...เป็นคนอย่างไงเนี่ย?
จะหยิ่ง หรือจะเป็นคนมีน้ำใจ …. เอาให้แน่สักอย่างซิ!! 
……………..
"พี่ภูผา .. รุ่นพี่ปีสาม คณะสถาปัตย์นั้นแน่ ๆ เลย .. นี่! ตะวันไม่รู้จักพี่เค้าหรอ?  อ้อ!!...ลืมไป.. ลูกสาวคนสวยของเจ้าสัวใหญ่ที่มีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ ล้อมหน้าล้อมหลังมากมายอย่างตะวันเนี้ย แค่ลำพังจะหลบหลีกคนพวกนั้นก็หมดเวลาจะสนใจใคร ๆ เค้าแล้วสิ" กวินถามเอง~ตอบเอง... เรียบร้อย 
"อวยมาเลยจ๊ะ...อวยมาเลย เราชอบฟัง" ประชดด้วยหางเสียงทั้งขุ่น...ทั้งเย็น เพราะไม่ชอบให้ใครมาพูดเรื่องผู้ชายที่มาล้อมหน้าล้อมหลังเอาเสียเลย ต่อให้เป็นแม้กระทั่งเพื่อนที่รักกันมากอย่างกวินก็ตาม!!
"อ๊ะ...ฟังต่อสิ! ... เด๋วปั๊ด … งอลยันลูกบวชเลยนิ!" 
เพื่อนตัวดีได้ทีกวน 'มะโห'
"ถ้าต้องงอนกันนานขนาดนั้น งั้นเรามาจดทะเบียนหย่าขาดจากการเป็นเพื่อนกันวันนี้เลยเอาไหม?"   ดูท่าเพื่อนสาวจะมี 'มะโห' จริง ๆ แฮะ เขาเลยต้องรีบรอมชอม "น่า...นะ! ฟังเหอะ...ฟังหน่อย เราอยากเล่าอะ" ยังไม่วายยื่นปากแหย่รังแตนเล่นก่อนเล่าต่อพร้อมทำเสียงราวกับการออกมาอ่านเลคเชอร์หน้าชั้นเรียน
"พี่เค้าอะนะ..เรียนเก่งมากกกกกกกกกก มากขนาดติดอันดับเกียรตินิยม สอบได้ทุนของมหาวิทยาลัยทุกปี เป็นที่รักใคร่..ชาบู ๆ ของรุ่นน้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ... รุ่นน้องทั้งสาวสวย หมวยน่ารัก และได้กลิ่นว่าจะมีอีกหนึ่งสาวสวยไฮโซที่ค่อนข้างเอาแต่ใจ ...อารมณ์ร้ายยยยย หน้ายักษ์นางหนึ่งก็ทำท่าจะสนอกสนใจรอยื่นใบสมัครเป็นสาวกแฟนคลับเพิ่มอีกหนึ่งนาง"   คนเล่าดูท่าจะปลื้มจนออกนอกหน้าจนร้อยตะวันทำท่าจะปาสมุดกองใหญ่ใส่หน้าเขานั่นแหละ จึงได้รีบเก็บกิริยาสำรวมแต่หน้าทะเล้นพูดเสริมต่อได้อีก
"เห็นหน้าหล่อ ๆ ดุ ๆ โหด ๆ แบบนั้นน่ะมีน้ำใจมากเชียวล่ะ เป็นที่รักของน้อง ๆ ทุกคนในคณะเขาเลยนะจะบอกให้ ... อีกอย่างวัน ๆ พี่เขาก็จะเอาแต่เรียนแหละ ได้ยินว่าฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี และที่สำคัญ....ก็คือ" กวินเว้นไว้อย่างมีเลศนัย "...ไม่เคยเห็นว่าพี่เค้าจะสนใจผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษเลยสักคน... ข้อมูลนี้เราแถมพิเศษนะจ๊ะ... เผื่อว่าตะวันอยากจะรู้" ประโยคสุดท้ายเพื่อนหนุ่มหันมายิ้ม ทำหน้ารู้ทันใส่หญิงสาว
"บ้าสิ!.." ร้อยตะวันเอ็ดเอาเบา ๆ แก้เขินเพราะปรากฏรอยระเรื่อแดง ๆ ที่วงแก้มนวล 
"เราแค่อยากรู้ว่าพี่เค้าเป็นใคร ทำไมเราเรียนที่นี่มาจะครบปีแล้วถึงได้ไม่เคยเห็นหน้าพี่เค้ามาก่อนเลยน่ะ" พูดได้ไม่เต็มเสียงเท่าไร
"ไม่แปลกหรอกน่า...." กวินลากเสียงรู้ทันอีก 
ก็ทำไมจะไม่รู้ล่ะ! ตั้งแต่เล็กจนโตมาด้วยกันนั้นมันนานเท่าชีวิตของกันและกันได้เลย และร้อยตะวันเคยถามถึงเรื่องของผู้ชายคนไหนหรือเล่า
"ก็พี่เค้ากับตะวันมันคนละสังคมกันอยู่แล้วนี่! เค้าน่ะมันดอกฟ้า..ส่วนตะวันมันก็แค่หมาวัด เถอะ! ริอาจปองของสูงนะคะหล่อน" กวินดัดเสียงจิก ๆ กัด ๆ เลียนแบบอาจารย์สอนวรรณกรรมร่วมสมัย ในสมัยที่พวกเธอเรียนมัธยมปลายมาด้วยกัน 'ชัดเป๊ะ' ผลคือ ... โดนร้อยตะวัน 'ซัดเผี๊ยะ' เข้าให้ที่ต้นแขนเบา ๆ 
หญิงสาวที่ถึงแม้จะชักเริ่มอารมณ์เสียแต่ก็ยังไม่วายหลุดขำความล้นของเพื่อนรักอยู่ดี 
"มัวแต่ล้อเล่นอยู่ได้....ตกลงเราจะได้รู้ไหมว่าเขาเป็นใคร?"
"ใจเย็น ๆ ซิจ๊ะทูนหัว... ก็แค่แปลกใจน่ะ ปกติเราไม่เคยเห็นว่าตะวันจะสนใจใครเป็นพิเศษเลยนี่นา แต่ถ้าหากเกิดสนใจพี่เค้าขึ้นมาจริง ๆ เราขอเตือนด้วยความรักและเคารพเลยนะเพื่อน!! ถึงแม้พี่เค้าจะเป็นคนที่มีน้ำใจ คอยช่วยเหลือน้อง ๆ ก็จริง แต่หัวใจพี่แกก็สมชื่อ 'ภูผา' ของเค้าเลยนะ .. ไม่งั้นพวกสาวน้อยสวยมาก ~ สาวมากสวยน้อยทั้งหลาย ที่แอบและไม่แอบไปลดแลกแจกแถมขนมจีบคงไม่แอบเรียกพี่เค้าลับหลังว่า 'ภูผาน้ำแข็ง' หรอกน่ะ!"

ยังคงตื้อต่อ

✨☝ นิยายแต่งจบรับ eBook ได้ที่ CLICK TO GET ME NOW ได้เลย ☝✨
"ขอผมดูหน่อยได้ไหม?" 
คนตัวสูง ตาคม ที่หญิงสาวเดาได้ในทันทีว่าเขาต้องมีสายเลือดชาวปักษ์ใต้อย่างแน่นอนเอ่ยอาสาเสียงเรียบ ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง เพราะไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถช่วยเธอได้มากน้อยเท่าไร แม้ไม่บ่อยนักที่รถจอมเกเรจะแผลงฤทธิ์นอนนิ่งไม่ยอมวิ่งซะเฉย ๆ และมักจะเคยมีหนุ่มน้อยใหญ่มาทำทีดูแลทักทายจะซ่อมแซมให้ แต่ก็เพียงเข้ามา 'ดู..แล' จริง ๆ เพราะเขาเหล่านั้นก็ไม่เคยช่วยอะไรได้เลยนอกจากจะนั่งรอช่างเป็นเพื่อนกับเธอ
เขาดูจะใจเย็นระหว่างที่รอคนที่เผลอขมวดคิ้วตัดสินใจ ก่อนที่ร่างเล็กกระจ้อยจะยอมถอยหลบออกมาให้คนตัวโตตรวจดูรถได้สะดวก ๆ
เห็นมือกว้างจับขยับโน่นนี่เล็กน้อยก่อนที่จะบอกให้เธอไปทดลองสตาร์ทรถ ร้อยตะวันขยับตัว แต่ในใจกลับคิดว่าอย่างไรเสียเขาก็คงไม่ได้ช่วยอะไรได้แน่ แต่ที่ต้องทำตามก็เพราะไม่อยากจะให้เขาเสียน้ำใจที่ได้อุตส่าห์แวะเข้ามาช่วย ...อีกอย่างหนึ่ง... ตอนนี้เธอไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับใครในขณะที่ยังเหนื่อย ๆ หิว ๆ อยู่นักหรอก
เสียงเครื่องยนต์ครางแกว่ง ๆ แล้วก็ดับไปดังคาด เจ้ารถจอมเกเรไม่ยอมง่าย ๆ จริง ๆ ด้วย แต่อย่างน้อยอาการสำลักไม่มีแล้ว และถึงแม้จะอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมติด นอกจากเสียงครางที่ยาวกว่าเดิมเท่านั้น … เขาก้มลงดูที่เดิม และก็ลงมือขยับอะไรอีกนิดหน่อย 
เธอแอบถอนใจ... นี่เขาคิดว่าตัวเองมีคาถาวิเศษหรือไงกันน่ะ .. กะอิแค่แตะโน่นนิด ขยับนั่นหน่อย
แล้ว... ต้องเป่ามนต์คาถาบทไหนให้รถมันติดง่าย ๆ กันเล่าเนี่ย!
คนถูกนินทา (ในใจ) เงยหน้าขึ้นมามอง... 
บ้าน่า!!... เธอนินทาเขาในใจใช่ปะ? … ไม่ได้เผลอพูดมันออกไปจริง ๆ หรอก .. ใช่ไหม!? 
กะพริบตาถี่ ๆ ติดกันเพราะตกใจหน่อย ๆ สุดท้ายก็หยุดแล้วได้แต่มองเขาด้วยดวงตากลมโตแบบอึ้ง ๆ 
ดวงตาคมตวัดขึ้นมามองสบตาใต้ขนตางอนหนาที่มองมาอยู่พอดี ..
อุปทาน?.. 
เธอเหมือนกับมองเห็นมีรอยเข้มเพิ่มขึ้นอีกบนใบหน้าเขา .. แต่ก็แค่..ชั่วแว่บเดียวเท่านั้นนะ!!
"ลองสตาร์ทอีกครั้งครับ" เขาเอ่ยมา ซึ่งเธอทำตามอย่างว่าง่ายอีกครั้งเพราะรู้สึกเขินเหมือนถูกโดนจับได้ว่าแอบนินทาเขาอยู่ในใจอย่างไรไม่รู้ ... และคราวนี้เจ้ารถเกเรก็หายงอนล่ะ!? อ๊ะ! มันสตาร์ทติดแล้วนิ?!
เขาเป่าคาถาบทไหนนี่...?!? 
ชะโงกหน้าไปมองด้วยดวงตากลมโตอย่างแปลกใจแกมดีใจ จังหวะเดียวกันกับที่เขาก็เงยหน้ามาสบตากับเธออีกครั้ง ต่างคนต่างชะงักงันกันชั่วแว่บ .. เธอเองที่ชะงักงันเพราะจู่ ๆ หัวใจมันดันรู้สึกกระตุกวูบวับแบบแปลก ๆ 
'ผู้ชายอะไร... ตาสวยชะมัด!'
"สายส่งน้ำมัน มันหลวม" เขาเบือนหลบตาเธอไปก่อน ก่อนที่จะเอ่ยเฉลยปัญหาเครื่องยนต์ขณะที่เอื้อมมือเพื่อจะปิดฝากระโปรงรถให้อย่างเรียบร้อย เธอเอื้อมหยิบทิชชู่ในรถให้เขาเช็ดเหงื่อกับเช็ดมือ
"ขอบคุณ...คุณมากนะคะ"
ยิ้มจนตายิบหยี ... ซึ่งเป็นกิริยาที่มักจะทำเป็นประจำให้กับคนที่ค่อนข้างจะสนิทชิดเชื้อกันจริง ๆ เท่านั้น และครั้งนี้เธอก็ไม่ทันรู้ตัวว่าเผลอแสดงกิริยานี้ออกไป ... แหม … ก็ต้องดีใจสิ! ที่จะไม่ต้องติดแงกเพื่อรอช่างประจำมาซ่อมให้ ซึ่งคงต้องใช้เวลาและไม่รู้ว่าจะต้องรออยู่อีกนานแค่ไหนกว่าช่างจะฝ่าการจราจรมาถึง ความดีความชอบจึงควรตกเป็นของเขาที่มีน้ำใจแวะเข้ามาให้การช่วยเหลือเธอในครั้งนี้ มันก็สมควรแล้วนี่!!
"คุณกลับบ้านอย่างไรคะ .. ให้ฉันไปส่งคุณเอาไหม?" 
ถามทันทีหลังจากเห็นชายหนุ่มหันไปเอื้อมคว้าตำราเรียนที่วางไว้บนหลังคา ก่อนจะลงมือ (เป่ามนต์) ซ่อมรถให้ และจากที่สังเกตดูแล้ว … เขาคงไม่ได้ขับรถมาแน่นอน
"อย่าเลย วันนี้ฝนทำท่าจะตกและรถก็คงจะติดหนักตามเคย คุณกลับไปเถอะ ผมกลับเองได้" เขาตอบกลับมาอย่างไม่ค่อยใส่ใจในน้ำใจของเธอบ้างเลยแฮะ!! .. แต่จากประโยคของเขา คนฟังก็ยังดันตีความได้ว่า เขาเองน่าจะเป็นห่วงว่าเธออาจต้องติดอยู่กับการจราจรจลาจลอันหฤโหดหลังฝนตก อย่างที่รู้กันทั้งในและร่ำลือกันไปถึงต่างประเทศแล้วในเรื่องการจราจรติดขัดเข้าขั้นวิกฤติของประเทศนี้ ที่พี่ไทยเรานำมาอยู่อันดับต้น ๆ ไม่แพ้ชาติใด
"แล้วคุณกลับทางไหนล่ะคะ เผื่อจะเป็นทางเดียวกัน อย่างน้อยให้ฉันไปส่งคุณลงที่ป้ายรถเมล์หน้ามหาลัยนี้ก็ได้ค่ะ" 
ยังคงตื้อต่อ เพราะถึงอย่างไรเขาก็มีน้ำใจไมตรีที่แวะช่วยเหลือในเรื่องนี้ แถมน้ำเสียงฟังดูยังเป็นกันเองขึ้นหลังจากคะเนเอาว่าเขาคงต้องเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยนี้แน่นอน ... แต่คงไม่ใช่คณะเดียวกันกับเธอแน่ เพราะไม่เคยคุ้นหน้าเขามาก่อนเลย
"ไม่ต้องหรอก .... ป้ายรถเมล์อยู่อีกไม่ไกลเท่าไร

เรื่องราวในอดีตก็ฟื้นตื่นมายั่วเย้า

✨☝ นิยายแต่งจบรับ eBook ได้ที่ CLICK TO GET ME NOW ได้เลย ☝✨

จากความอ่อนโยนของแสงอาทิตย์ยามอัสดงที่กำลังจะจูบลาขอบเขาไกล ๆ กับสายลมเย็นที่พัดผ่าน ความสงบเงียบที่ได้รับ ทำให้เธอนึกอยากจะหาซื้อที่ปลูกบ้านหลังเล็ก ๆ แบบนั้นไว้สักหลังหนึ่งเพื่อเอาไว้สำหรับพักผ่อนซะแล้วซิ ..แต่คงยังอีกนาน...นานมาก ๆ เลยแหละ
หญิงสาวอมยิ้มให้กับความคิดของตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางทิ้งเอาไว้ในรถ มันดังเป็นเพลงโปรดของเธอ
กวินนั่นเองล่ะที่เป็นผู้โทรเข้ามา 
"ตะวัน..เป็นอะไรหรือเปล่า? ตอนนี้อยู่ที่ไหนน่ะ .. ทำไมยังไม่ถึงบริษัทฯเสียที" 
คำถามที่ยิงใส่มาเป็นชุด เรียกรอยยิ้มได้อีกครา แม้กระนั้นก็ยังทำให้คนฟังรู้สึกผิดไม่น้อยที่วันนี้เผลอเพลินกับงาน แถมยังเถลไถลชมบรรยากาศอยู่จนลืมโทรหาเพื่อนรักไปซะสนิทเลย
"ขอโทษจ้ะกวิน พอดีเราทำงานเพลินน่ะ กว่าจะออกมาจากไร่ก็ปาเข้าไปเกือบสี่โมงเย็นแล้ว" เสียงหญิงสาวที่ตอบกลับจึงอ่อนโยนลง
"กวินมีอะไรจะคุยกับเราด้วยหรือเปล่า" 
"เปล่าหรอก เราแค่เป็นห่วงน่ะ แล้วก็แค่กะว่าจะทำเซอร์ไพรส์ รอดินเนอร์แบบโรแมนติกด้วยกันเสียหน่อย" เขามักจะพูดเล่นแบบนี้กับเธอได้เสมอ "ก็ตั้งแต่ร่วมบริษัทฯกันมา เห็นแต่ตะวันทำงานหามรุ่งหามค่ำจนแทบจะไม่มีเวลาให้กับเพื่อนฝูงเลยน่ะสิ .. ดูเถอะ ขนาดวันนี้เรารอจะกินข้าวด้วยกันก็ยังพลาด" เสียงสวดบ่นปนมา
"งั้นเป็นวันอาทิตย์นี้เน๊อะ .. งานเราคงเสร็จพอดี"
ตอบด้วยน้ำเสียงสดใสให้คนฟังสบายใจขึ้น ... ขัดกับสายตาหมองที่ทอดมองไปยังบ้านหลังน้อยไกลออกไปตรงปลายเนิน
"อื้ม!..เยี่ยมเลย...และยินดีด้วยจ้า ถือเป็นการเลี้ยงฉลองไปในตัวเลย ...ว่าแต่... ต้องเลี้ยงเราร้านหรู ๆ เลยนะ" เสียงตอบโต้มาตามสายเริ่มดีขึ้น
"ได้สิ...ร้านลาบกะส้มตำหน้าซอยบ้านเราเลยนะ รสแซ่บ ๆ" อำเพื่อนที่ขี้ตะกละมาตั้งแต่เด็กเล่น
"แหมะ!... น้ำลายสอเลยเชียว แถมแหนมเนืองให้เราด้วยใช่ปะ?"
"ตะกละอะ!... เงินเรางวดแรกหมดเลยนะน่ะ" โอดโอยเสียงละห้อย
"งกน่า!... ได้เงินงานแรกมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ยังจะขี้เหนียวกับเพื่อนรักได้นะ แล้วนี่ออกจากไร่มาแล้วใช่ไหม?" 
"จ้ะ...เผลอแวะชมวิวนิดเนิ่ง.. เราเพิ่งเห็นน่ะว่าวิวตรงนี้สวยดี แล้วก็ว่ากำลังจะกลับอยู่พอดีเลย"
คนตอบ...ยกมือเสยผมที่หยักหยิก แต่นุ่มอ่อนจนพลิ้วไหวได้ตามแรงลม
"โอเค...ถ้างั้น...ขากลับขับรถดี ๆ นะจ๊ะ" 
เสียงสุดท้ายยังฟ้องนัยแห่งความเป็นห่วงไม่วาย
"อื้มมม...จ้ะ" ร้อยตะวันตอบรับในลำคอ ก่อนจะแตะจอวางสาย .. พร้อมๆ กับเรื่องราวในอดีตก็ฟื้นตื่นมายั่วเย้าอีกครา ..
………………..
"รถเสียหรือครับ?"
คำถาม ดังขึ้นจากเบื้องหลังของสาวน้อยร่างบางระหงในชุดนักศึกษา ผมยาวหยิกสีอ่อนถูกรวบเป็นเปียหลวม ๆ ตอนนี้มีไรเหงื่อชื้นเกาะที่ตีนผมอยู่เล็กน้อย เพราะช่วงเดินออกมาเจอกับอากาศที่แม้จะเป็นเวลาบ่ายจัดแล้ว แต่ความร้อนที่สะสมอยู่ตลอดทั้งวันก็ไม่เคยยอมผ่อนปรนให้กับกรุงคอนกรีตเช่นประเทศไทยเอาเสียด้วยซิ
แค่ออกมาก้ม ๆ เงย ๆ ดูแก้เซ็งไปงั้น เพราะไม่ได้มีความรู้เรื่องเครื่องยนต์อยู่แล้ว แต่เมื่อครู่ลองโทรไปที่อู่ประจำของครอบครัว หากวันนี้ก็เป็นอะไรไม่ทราบ โทรทั้งร้านทั้งมือถือ กลับไม่มีผู้รับโทรศัพท์เธอเลยสักที กะไว้ว่าอีกสักสิบห้านาทีจะลองโทรใหม่ เผื่อที่อู่จะมีธุระยุ่งกันอยู่ ก็เลยเถลไถลออกมาก้มเงยมองเล่นฆ่าเวลา เพราะไม่อยากจะนั่งอารมณ์เสียอยู่ในรถคนเดียว ... กวินก็ดันไปเข้าค่ายอาสาเสียอีกนะวันนี้!
เจ้าของคำถามเป็นของชายหนุ่มร่างสูงผิวเข้ม ตาคม ผมดำตรงหน้า หลังจากที่เธอหันกลับไปมองตามเสียงทุ้มเบา .. สุภาพ
ร้อยตะวันมองอย่างพิจารณาเขาอยู่เพียงครู่ ด้วยความหงุดหงิดอารมณ์เสียที่เริ่มสะสมมาเรื่อย ๆ แต่อะไรบางอย่างที่เพียงแว่บแรกที่ผ่านสัมผัส เธอก็รู้สึกได้ว่าเขานั้นมีความจริงใจในการช่วยเหลือเธอโดยไม่ได้มีความหมายหรือนัยใดที่อาจแอบแฝงอยู่ด้วยอย่างแน่นอน 
"ค่ะ..." ข่มเสียงให้อ่อนกว่าที่ตั้งใจไว้ 
"ขับมาอยู่ดี ๆ มันก็สำลักสองสามทีแล้วก็ดับไป ลองสตาร์ทใหม่เท่าไหร่ก็ไม่ติด" 
ตอบด้วยน้ำเสียงท้อใจในประโยคต่อมา วันนี้ดันมีประชุมที่คณะและใช้เวลานานกว่าที่คิดไว้ในการนั้น เธอเองก็ทั้งเหนื่อยและหิว อุตส่าห์ไม่แวะหาอะไรกินเพราะช่วงนี้ทั้งร้านเบเกอรี่และร้านอาหารเล็กๆ ก็คนเต็ม เธอเองก็จะรีบกลับบ้าน แต่พอขับรถออกมาไม่ทันพ้นรั้วมหาวิทยาลัยก็มาเจอกับปัญหารถเสียอีกซิ 

ม่านหมอกกรุ่นที่ซุกซ่อนอยู่ในใจ

✨☝ นิยายแต่งจบรับ eBook ได้ที่ CLICK TO GET ME NOW ได้เลย ☝✨

'ฉันมาทำอะไรอยู่ที่นี่นะ?’ 
คำถามเก่า ๆ ราวกับเพื่อนสนิทจู่ ๆ ก็กลับผุดขึ้นในห้วงความคิด เหมือนเช่นหลาย ๆ ครั้งที่ต้องตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดอันโดดเดี่ยว ภายในอพาร์ทเม้นท์หรูหราในต่างแดนที่ทางครอบครัวได้ซื้อไว้พักอาศัยระหว่างที่เธอต้องมาศึกษาด้านการออกแบบตกแต่งสวน ที่หญิงสาวตั้งใจจะใช้เป็นอาชีพไว้เลี้ยงตัวเองในอนาคต …
ท่ามกลางผู้คนแปลกหน้า .. แม้สถานที่จะงดงาม แต่ก็เหน็บหนาวนักในห้วงแห่งความรู้สึก .. เธอเองก็ไม่ชอบนักกับความรู้สึกบีบคั้นลึก ๆ ที่มันเกิดวูบวับอยู่ในใจนี้เท่าไหร่นัก หากแต่ก็ไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าจะกำจัดมันออกไปจากใจได้อย่างไร ซึ่งมันมักจะมาจู่โจมยามเผลอไผล แต่ก็ถือเป็นโชคดีที่มันจะหยุดอยู่กับเธอเพียงชั่วแค่วินาทีเท่านั้น …
ครั้งนี้เองก็เช่นกัน... 
ศีรษะงดงามสั่นไหว ไล่คำถามที่ไม่ต้องการทราบคำตอบอย่างแท้จริงให้หลุดหายไปจากความคิดโดยไว …
ดวงตาสวยใต้ขนตางอนหนาทอดยาว ราวกับจะให้ภาพงดงามท่ามกลางแดดอ่อนช่วยขับไล่ และบรรเทาม่านหมอกกรุ่นที่ซุกซ่อนอยู่ในใจออกไป 
ใช่! ... ความรู้สึกนั่นจะเกิดขึ้นชั่วแว่บก็จริง แต่มันมักทิ้งตะกอนตกค้างไว้ในใจให้เธอขุ่นมัวได้เสมอ!! 
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หญิงสาวไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าเส้นทางที่ต้องขับรถไป - กลับมาโดยตลอดระยะเวลาในการมาควบคุมการทำงานให้เป็นไปตามแบบที่เธอต้องการ ด้วยมุมมองจากจุดนี้  มันสามารถใช้เป็นจุดพักสายตาได้อย่างวิเศษทีเดียว 
เมื่อต้นเดือนที่แล้ว เธอได้รับงานชิ้นแรกเป็นของคู่แต่งงานใหม่ พวกเขาตกลงใจให้เธอออกแบบและควบคุมการตกแต่งสวนให้กับบ้านพักตากอากาศบรรยากาศบ้านไร่ที่พวกเขาซื้อเก็บไว้ไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก คงไม่เกินสัปดาห์นี้ งานของเธอที่นี่ก็จะเสร็จเรียบร้อย เพราะเมื่อช่วงบ่ายลูกค้าทั้งคู่จูงมือกันมาตรวจดูงานและพวกเขาก็ดูพอใจในผลงานของเธอมากทีเดียว นั่นมันคงทำให้ร้อยตะวันเริ่มรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นจนมีเวลาใส่ใจกับสิ่งรอบ ๆ ตัวเช่นตอนนี้
ภายใต้แสงส้มอ่อนของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะบอกลาขอบฟ้า เจ้าของร่างบางที่ยืนกอดอกพิงรถยนต์ยุโรปเรียบหรูคันเก่ง รอรับลมยามเย็นที่พัดผ่านมาทักทายอย่างอ่อนเบาอยู่เป็นระยะ ... เมื่อสักพักใหญ่ก่อนหน้านี้ฝนได้ตกลงมาให้ความชุ่มฉ่ำสดชื่นกับใบไม้ใบหญ้า นำพากลิ่นดินหอมอ่อน ๆ แอบแฝงตัวมากับสายลมเย็นชื่นนี้ด้วยสิ … มีไม้ยืนต้นตายเดียวดายอยู่ตรงบริเวณปลายเนินถัดออกไปไกลจากที่เธอยืนอยู่พอสมควร .. มันคงโดนฟ้าผ่าเพราะมีรอยดำเกรียมให้เห็นอยู่ตรงบริเวณลำต้น…
สีดำเข้มของมันตัดฉับกับสีท้องฟ้ายามเย็นที่ยังคงมีสีส้มอมชมพูเรืองรอง ก่อให้เกิดทัศนีย์ภาพที่ชวนมองยิ่งนักในช่วงเวลาเช่นนี้ จนสามารถเรียกได้ว่ามันคือหนึ่งในผลงานงานศิลปะชิ้นเอกอีกชิ้นหนึ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาได้อย่างน่าภาคภูมิใจไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อทอดสายตามองผ่านต้นไม้ต้นนั้นไล่ไปตามทุ่งหญ้ากว้างไกล ก็จะสะดุดตากับบ้านหลังน้อยสีขาวกลางทุ่งเขียวหม่น และด้วยในระยะที่สายตาพอมองเห็น เธอคาดเดาว่ามันน่าจะเป็นบ้านที่ปลูกสร้างขึ้นมาได้ไม่นานเท่าไรนัก สังเกตได้จากต้นไม้ที่ดูเหมือนจะปลูกทิ้งปลูกขว้างเสียมากกว่าปลูกเพื่อความสวยงาม เพราะเป็นต้นไม้ที่ยังสูงใหญ่ไม่มาก ปลูกอยู่ดูระเกะระกะตา และตามนิสัยของนักออกแบบทำให้หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะปล่อยให้ใจจินตนาการไปอย่างเพลิน ๆ 
จากตรงซุ้มประตูทางเข้าบ้านหลังเล็ก ๆ น่ารักนั่น ... หากจะปลูกไม้หอมที่ออกดอกสีขาวไว้ให้ส่งกลิ่นยามเย็นในยามที่ลมทุ่งพัดผ่าน คงทำให้เจ้าของบ้านได้ชื่นใจได้ดีไม่น้อย .. และที่ตรงมุมรั้วนั่น ห่างจากมุมบ้านไม่ไกล เจ้าของบ้านจะกล้ากันหรือไม่ที่จะปลูกต้นหางนกยูงเอาไว้ดูดอกสีแดงเพลิงยามย่างเข้าสู่ฤดูร้อนที่แดดแรงอย่างบ้านเรา .. อันนี้เจ้าของความคิดเสริมเติมไปเองแหละ เพราะเธอชอบสีสันของดอกไม้นั่นเป็นการส่วนตัว …
จะเป็นไร ... ก็แค่คิดเล่นๆ ไปเองนี่นา!
ส่วนตรงด้านข้างของตัวบ้าน ถ้าจะเอาไผ่ตรงมาลงให้แน่นเพื่อทำเป็นแนวรั้วบ้านไปในตัว .. ส่วนเนื้อที่ที่ว่างตรงกลางระหว่างบ้านกับรั้วไผ่ หากได้หินสีขาวโรยไว้ให้เต็ม เอาเก้าอี้สนามมาตั้งวางไว้ใช้นั่งพักยามบ่าย ..นิ่งฟังเสียงเพลงใบไผ่..ดีไหม
เอ๋?...ด้านหน้าบ้าน เขาทำระเบียงเอาไว้ดูดาวกับคนรักหรือเปล่าน่ะ 
ถ้าเป็นอย่างที่เธอคิดไว้ ...แหม... เจ้าของบ้านคงต้องเป็นคนที่โรแมนติกไม่เลวเลย ... ^^
ร้อยตะวันเผลอยิ้มจนตาหยี ให้กับความคิดอันเป็นตุเป็นตะของตัวเอง 

อารัมภบท

✨☝ นิยายแต่งจบรับ eBook ได้ที่ CLICK TO GET ME NOW ได้เลย ☝✨
อารัมภบท
"ตะวัน..นี่!! ...เราอยู่ทางนี้!"
เสียงร้องบอกกล่าวผ่านทางมือถือเป็นของชายหนุ่มหน้าสวยสะอาดสะอ้านเกินไปกว่าที่ผู้ชายส่วนใหญ่ทั่วไปจะใส่ใจในเรื่องนี้ แถมผู้นัดแนะทักทายยังโบกไม้โบกมือเพื่อส่งสัญญาณบอกตำแหน่งที่เขายืนอยู่ให้หญิงสาวที่แต่งกายในชุดเดินทางแบบเรียบหรูสีน้ำเงินเข้มเกือบดำ ที่ขับผิวผ่องให้ยิ่งขาวใสละออตาและยังช่วยส่งให้ร่างสูงระหงแลดูขรึม สง่า โดดเด่นน่ามองยิ่งขึ้นได้ในท่ามกลางความสับสนขวักไขว่แกมวุ่นวายขนัดแน่นของผู้เดินทาง ทั้งกรุ๊ฟทัวร์คนไทยและชาวต่างชาติซึ่งอยู่ภายในอาคารชั้นผู้โดยสารขาเข้าของสนามบินนานาชาติกลางกรุงฯ ทำให้เจ้าของร่างที่กำลังลากกระเป๋าเดินทางใบย่อมจะเดินไปต่อคิวรอตรวจเอกสารต้องชะงักฝีเท้าที่ก้าวเดินด้วยความมั่นใจ ก่อนเจ้าของใบหน้าสวยหวานจะหันมาโบกมือตอบกลับพร้อมแย้มยิ้มสดใสจนนัยน์ตาหยี บ่งบอกถึงความดีใจที่ไม่แพ้กันนัก
ร้อยตะวัน ...
หญิงสาววัยยี่สิบตอนปลาย เจ้าของร่างสูงบางระหงและผมหยิกสลวยเป็นลอน สีอมน้ำตาลไหม้โดยธรรมชาติที่มิได้ดำขลับเข้มเฉกเช่นหญิงไทยทั่วไป ถูกปล่อยสยายเพื่อลดความเคร่งขรึมให้กับใบหน้าที่มองดูเผิน ๆ แล้วมักเย็นชาแกมเหย่อหยิ่งอยู่ในตัวเสมอ ส่วนผิวอันละเอียดอ่อนของหญิงสาวขาวจัด บ่งฟ้องถึงระยะเวลาการอาศัยอยู่ต่างบ้านต่างแดนได้เป็นอย่างดี
รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากอิ่มเต็มได้รูปเรียวสวยของผู้ที่เพิ่งก้าวพ้นช่องตรวจคนเข้าเมืองอีกครั้ง ซึ่งสุดท้ายเสียงหวานใสก็ยังไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพให้กับเจ้าพนักงานสาวที่ทำหน้าที่ตรวจเอกสารให้เธอเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะเร่งจังหวะการก้าวเดินให้เร็วขึ้นเพื่อตรงไปยังชายหนุ่มหล่อสะอ้าน ร่างสูงบาง ผู้ที่มายืนรอรับด้วยรอยยิ้มระบายเต็มบนใบหน้าสดใส
"ตะวัน....คิดถึงจัง"
ชายหนุ่มฉวยโอกาสดึงสาวสวยร่างสูงเข้ามากอด ... ด้วยความสนิทสนม คิดถึง
"ดีใจอะไรนักหนาอะ!" เสียงต่อว่าราวหมั่นไส้ดังอู้อี้ ปกปิดรอยชื้นที่ปลายตา 
"กวินเพิ่งบินไปหาเราเมื่อต้นเดือนที่แล้วเองนะ ... หลอกกอดเราป่ะเนี่ย!"
เสียงบ่นปนหัวเราะ ๆ ใส ๆ แต่อีกฝ่ายสนใจที่ไหนกัน มีแต่จะกลับแกล้งกดแรงกอดให้แน่นขึ้นอีกเพื่อเป็นการแก้แค้นเสียด้วยซ้ำ
"ชิ! ก็ต้องเสี่ยงเอาสิ!!" ตอบรับหน้าตาเฉย "ก็เราดีใจนี่นา"
ประโยคถัดมาทำเสียงอ่อนเสียงหวาน แต่ดวงตาบนใบหน้าขาวกลับพราวระยับ
"แหมะ! .. หวงตัวจนคนเค้าร่ำลือไกลมาจากต่างแดนซะขนาดนั้น .. คิดหรือว่าเราจะไม่ได้ยินกิติศัพท์ความโหดของสาวไทยมือตบ ที่ตบหนุ่มฝรั่งจนหน้าหันในงานพรอมของมหาลัยที่ตะวันเรียนอยู่น่ะ .. ไม่รู้หรือไงว่าเราแอบวางสายข่าวไว้ทั่วมั่วไปหมดแหละ ถามว่า จะหวงตัวไว้ให้คุณหลวงที่ไหนหรือเปล่านี่"
ตอนท้ายเพื่อนชายคงอดไม่ได้ที่จะหยอกย้ำความเป็นคนหัวโบราณของเพื่อนรัก เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นตั้งมั่นแค่ไหนที่จะไม่ยอมปล่อยตัวไปตามสมัย แม้ขนาดที่ต้องไปอยู่ในดินแดนที่ขึ้นชื่อในความอิสระเสรีขนาดนั้นก็ตาม ก่อนที่มือขาวเรียวสวยจะเอื้อมมาคว้ากระเป๋าเดินทางไฟฟ้าติดล้อลากได้ของเพื่อนสาว เพื่อพาเดินเคียงออกไปด้วยกัน
"ตั้งตัวเป็นเจ้ากรมการข่าวตลอดเลยสิ ขอถามบ้างว่า ทำไมไม่ไปเป็นนักข่าวให้รู้แล้วรู้รอดไปน่ะ จะมาเปิดบริษัทฯออกแบบตกแต่งภายในให้เสียดายศักยภาพที่มีทำไมกันล่ะนี่" หญิงสาวส่ายหัว แกล้งทำเสียงจิ๊กจั๊กประกอบ
"ก็เรากลัวว่าจะตกเป็นข่าวเสียเองมากกว่าน่ะสิ ข่าวฉาวของเรามันมีเยอะแยะเสียด้วย" คนตอบหันมาหลิ่วตาใส่ก่อนวกกลับมาตั้งกระทู้ใส่ที่เพื่อนสาวอีก "ว่าแต่เรา .. ตะวันเองก็เถอะ ปิดเทอมก็ไม่ยอมกลับมาบ้าน เอาแต่เที่ยวตะลอนดูไร่ บุกสวนของฝรั่งปรุไปจนทั่วยุโรปเลยไหมนี่ เพราะพอปีท้าย ๆ ก็อ้างเอาอีกว่าต้องเรียนหนัก จบแล้วก็ดันอ้างได้ว่าเหนื่อย ขออยู่เที่ยวก่อน นี่ถ้าเรากับคุณพ่อคุณแม่ของตะวันไม่บินไปหา จ้างให้ก็ไม่มีทางเห็นหน้าเห็นตากันสินะ" บ่นได้อีกยาวเหยียด
"ที่นี่บ้านเรานะ .. ยังไรเสียเราก็ต้องกลับมาซิ"
คนตอบที่คราวนี้ใช้น้ำเสียงอ่อนโยนจริงจังขึ้น 
"ครอบครัวที่รักของเรา ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงส่วนใหญ่ของเราก็อยู่นี่ .. เมืองฝรั่งในฝันอะไรนั่นน่ะ ต่อให้เราไปอยู่มานานสักแค่ไหน แต่พอเรากลับมาที่นี่แล้ว มันก็กลายเป็นแค่เรื่องเล่าในเงาของอดีตอยู่ดี .. เป็นเพียง..ลมปาก ที่ใครหรือเราเองก็จับต้องมันไม่ได้อยู่ดี ฉะนั้นก่อนตื่นจากความฝัน เราเก๊าะเลยต้องรีบโกยรีบเก็บกลับไปใส่กล่องแพนโดร่าซะให้เต็มที่เลยไง"
ดวงตาคมหวาน ... ที่มองเพื่อนผ่านขนตางอนยาวราวตากวางมีรอยยิ้มระยับแฝงอยู่ในรอยเงาของสาวน้อยที่ขี้เล่น เฉกเช่นคนเก่าในเยาวัย
"รูปถ่ายเซลฟี่ไง .. บอกให้รู้ได้ว่าเราไปเหยียบมันมาแล้วนั่นไง" ยังจะสนุกเถียงเพื่อนได้
"ก็แค่จุดสีที่มาอยู่รวมกันจนเป็นภาพ ซึ่งนั้นมันก็คือภาพของอดีตเก่า ๆ ของเราอยู่ดี จะมีใครสักกี่คนกันที่สามารถมารับรู้ลึกซึ้งร่วมไปกับมัน .. อย่างมากก็แค่ภาพ ๆ หนึ่ง..ที่ถ้าสวย คนมองอาจประทับใจนานเพียงแค่เศษเสี้ยววินาทีเดียวก็ได้ .. แต่ถ้าไม่สวยคงแอบนึกด่าเราในใจ .. เสียสายตา เปลืองไฟเปลืองเน็ตอะ หรือซวยอะไรแต่เช้านะที่ต้องมาเห็นอะไรแบบนี้ บางภาพก็หลอนตา หรือดูน่าขบขันกันไปนานแสนนาน"
"เขาถึงมีแอพแต่งภาพมาช่วยแล้วไง" ยังจะเย้า
หากเพื่อนสาวผู้ที่นึกถึงทฤษฎี 'ภาพไม่ตรงปก' จนบางประเทศถึงกับเกิดคดีทำร้ายตบตีกันในวันที่นัดเจอตัวจริงแล้วอีกฝ่ายผิดหวังรุนแรง เธอก็แอบอดขำขันกับข่าวนี้ไม่ได้หรอก .. ส่วนอีกกรณีก็แบบพิสดาร ยืดหน้า ดึงแขนต่อขา ทำอกฟู ๆ ที่มองดูมาจากดาวพลูโตยังเห็นว่าน่าจะไม่ใช่มนุษย์แล้วนั่น
"ใช่ .. แอพช่วยคนมีฝีมือแต่งภาพเก่ง ๆ ได้เยอะเลย" 
คำตอบขัดกับแววตา ทำไมเพื่อนสนิทจะไม่รู้ความหมายนี้ดีล่ะ
"เขาว่าเถียงผู้หญิงอย่างไรก็แพ้ เอาเถอะ เชื่อว่าคงเรียนหนักแหง ๆ ถึงขนาดเปรียบเรื่องเล่นเรื่องเรียนให้เป็นฝันร้ายที่ต้องรีบเก็บลงกล่องแพนโดร่าซะขนาดนั้นน่ะ ..ว่าแต่ว่า.. ปิดกล่องไว้แน่นเลยหรือเปล่า?" ชายหนุ่มขำขันคนช่างเปรียบเทียบ
"ไม่แน่นหรอก!...." ตอบหน้าตาเฉย
"อ้าว?..." เพื่อนอุทาน …ทำหน้าสงสัย
"เรากลัวกวินจะหายใจไม่ออกน่ะสิ" ลากเสียงได้อ่อนโยนสุด ๆ
"เดี๋ยวปั๊ด!! o///o ..แจกมะเหงกเลยนิ..มาว่าเราเป็นฝันร้ายได้ไง?" 
จากเพื่อน 'รัก' จะกลายมาเป็นเพื่อน...'รบ' กันล่ะคราวนี้ หากแต่พอดีที่อีกฝ่ายรีบลูบแขนปลอบใจเสียก่อน
"โอ๋ ๆ ... ไม่โกรธเน๊อะ...ไม่โกรธ .. เป่าเพี้ยง!......หาย!" ^^
"เอ๊า!...เราแค่งอนเองนะ ไม่ได้หกขะโล้มเข่าแตกแบบตอนเด็ก ๆ" กวินแก้ให้
จากจะแค่แกล้งงอน จึงเปลี่ยนเป็นขำกับกิริยาคนตัวบางกว่าที่ชอบทำเวลาเขาเริ่มจะงอนใส่ … ซึ่งอันที่จริงเขาไม่เคยจะงอนเธอได้สำเร็จเลยสักครั้ง เพราะให้สุดท้ายจริง ๆ แล้ว คนที่พลิกสถานการณ์กลับมาโกรธได้ก่อนก็มักจะเป็นคนตรงหน้านี้ทุกที!!
"เรารับกระเป๋าที่เหลือมาให้ครบแล้ว ไปกันเถอะ ป่านนี้คุณพ่อคุณแม่ของตะวันคงรอกันแย่แล้ว เมื่อกี้ก็โทรฯมาสั่งหนักสั่งหนาแล้วว่า ..ห้าม!.. พากันเถลไถล"  
ผู้กลับมาจากแดนไกลไม่ได้ตอบอะไรอีก เพียงแต่ยิ้มรับ ก่อนจะแตะแขนเดินตามร่างสูงขาวสะโอดสะอง..
สำหรับใครที่มองผ่านตามายังคนทั้งคู่ ส่วนใหญ่ก็มักคิดเช่นเดียวกันเสมอว่า 'กิ่งทองใบหยก' เชียวนะนี่ .. คู่นี้
"แก้มนุ่ม .. เธอเสียไปเกือบจะสองปีแล้ว..."
จู่ ๆ กวินก็เอ่ยโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย แบบที่เจ้าตัวแทบจะกัดลิ้นตัวเองให้ขาดเสียในทันทีที่พูดจบ เพราะไม่เข้าใจตัวเองเอาเสียจริง ๆ ว่าอะไรกันนะที่มาดลใจให้เขาพูดมันออกมาทำบ้าอะไร!! ... รีบปรายตาไปมองก็พบเพียงสายตานิ่งตรงของคนที่นั่งข้าง ๆ ที่ยังคงทอดสายตามองออกไปภายนอกรถ มองเผิน ๆ ก็เหมือนคนที่กำลังเฝ้ามองดูสิ่งที่แปลกตาตามประสาผู้ที่ทิ้งบ้านไปนานปี
"น่าสงสารนะ อายุยังน้อยอยู่เลย..." 
ไม่มีร่องรอยใด ๆ ให้กวินจับความรู้สึกได้หรอก ... แต่เขาก็ยังอยากกัดลิ้นตัวเองอยู่ดี ... ดังนั้น ความเงียบชวนอึดอัดจึงเกิดกับเขาเอง ทั้งที่เจ้าตัวก็อยากจะพยายามหาเรื่องอื่นคุยอย่างเร่งด่วน
"เมืองไทยเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะนี่" 
ถ้อยคำที่ตอบกลับมานิ่งใส ... ไม่ได้บ่งบอกความรู้สึกใดอีกเช่นเคย ราวกับรับรู้ความอึดอัดใจของเพื่อนได้ดีเช่นกัน
"ฮือ ... แต่ที่ไม่เปลี่ยนก็คือ ... ฝนตก น้ำท่วม รถติด อ้อ...แล้วก็อากาศร๊อน...ร้อนที่สุดในฤดูหนาว" เขาเสริมความจริง
"อย่างไร ร้อนก็ดีกว่าหนาว เพราะยังสามารถไปไหนต่อไหนได้ .. เมืองนอกน่ะ ถ้าหิมะตกหนักมาก ๆ จะไม่สามารถออกไปไหนได้ และไม่ว่าหิมะท่วมสูงมากสูงน้อย เราก็ยังต้องรอโกยมันออกก่อนอย่างเดียว ..คงต้องยอมรับนะว่าที่สภาพอากาศเค้ารุนแรงขึ้นน่ะก็เพราะพวกเราเองนั่นแหละ" ดูท่าทางคนพูดจะเริ่มปลง ๆ
"ปล่อยไปเถอะนะ ปล่อยไป 
อะไรที่อยากจะเกิด .. ก็คงต้องให้มันเกิดเถิดไป
อนาคต..ไม่ใช่สิ่งที่เราจะมองเห็นมันได้ซะเมื่อไร
อย่างนั้นมันก็คงต้องปล่อยให้เกิดเถิดไป..." 
เขาร้องใส่ทำนอง 'Bossa' ให้ฟังซะเลย ก่อนจะถอนหายใจยาว 
"มนุษย์เราเดี๋ยวนี้น่าสงสารน่ะ .. วิ่งวนกันไป ไหลตามกันไปราวกับสายน้ำเชี่ยวแห่งกระแสธารนิยมกันหมดแล้ว ..มนุษย์กลัวตกยุคตกสมัย.. ทำอะไรก็แค่ ‘ตามกระแส’ .. พริบตาเดียว เดี๋ยวก็มีกระแสใหม่เข้ามา ดูเถอะ ก่อนหน้านั่นร้อนตัวโฮละเลกันแทบจะเป็นจะตายเรื่องโลกร้อน .. มาวันนี้หรือ" คนพูดราวทำเสียง 'หึ' ในลำคอ "กลับวิ่งแล่นไล่ตามเรื่องกิน เรื่องเที่ยว เรื่องดาราเตียงหักสนุกสนานลั่นโซเชียลกันไป ... ส่วนเรื่องเก่าเรื่องเดิมน่ะหรือ? ..เก๊าะ.. ไม่รู้สินะ!... ถึงไหนแล้วอะ?... อะไรนะ? เฮ้ย! ..เด๋วดิ!!.. อย่าเพิ่งกิน!! ขอ up รูปลงเฟซ ลงไอจีแพรบนุง นะฮ๊าฟฟฟ" 
ประโยคสุดท้ายเธอมองเห็นภาพเชฟชาวฝรั่งเศสพร้อมผ้ากันเปื้อนที่ออกมายืนส่ายหัวด๊อกแด๊กขัดใจใน 'มโน' ความคิดได้แทบจะในทันที
'อาหารบางอย่างมันต้องกินทันทีที่เสริฟ ไม่งั้นรสชาติอาจเพี้ยนไป ถึงแม้จะเพียงเล็กน้อย 'คนลิ้นไม่ถึง' ย่อมไม่มีวันสังเกตได้ แต่ความตั้งใจของคนที่บรรจงทำมันล่ะ? คุณภาพของวัตถุดิบที่ตั้งใจและอุตส่าห์สรรหาเลือกเฟ้นมาล่ะ? ผมกำลังทำอาหารที่อร่อยที่สุด ..ดีที่สุด.. ให้พวกคุณกินอยู่นะ!!'
"อ้อ! .. ต้องรวมถึงคำศัพท์ใหม่ ๆ เช่น 'แถ แชร์ ไลค์ .. มโน' ด้วยนะ ที่ตะวันต้องตามให้ทันน่ะ ไม่งั้นคงได้กลายเป็น 'มนุษย์ป้า' ไปโดยไม่รู้ตัว" 
กวินเริ่มรวบลัด.. เปิดคอร์สติวเข้มให้เพื่อนรักกันละ!
"ทันสิ! ทำไมจะไม่ทัน! ไม่รู้หรอกหรือว่าเราก็เปิดอินเทอร์เน็ตเป็น .. เฟะบุ๊คหรือเฟคบุ๊คเราก็มี .. ยู้ตูบ อากู๋เราก็จิกขึ้นมาใช้มาดูอยู่บ่อย ๆ" 
ร้อยตะวันตอบขำ ๆ … แกล้งอำเพื่อนกลับไปตามเรื่อง
"อ้าว! เห็นหวงตัวเป็นสาวโบราณ .. เราก็เลยนึกว่าจะไม่สนใจความเป็นไปของโลกแล้วซะอีก" 
กวิน..แถ..กระปอดกระแปด
"อาจเป็นเพราะโลกเราหมุนไวขึ้น เหวี่ยงแรงขึ้นสินะที่ทำให้โลกมันร้อน เราก็เลยต้องร้อน ต้องเหวี่ยง ต้องไวไปตามโลก .. ใครที่มัวงุ่มง่ามหมุนตามไม่ทัน .. เดี๋ยวก็ได้ตกโลกไปคอหักตายกันพอดีสิ!"
ถ้อยคำที่พูด คนฟังย่อมรู้ เพราะทิ้งรอยประชดไว้ชัด
ร้อยตะวันคลี่ยิ้มแบบปลง ๆ 
โลกใบนี้ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ฝุ่นผง ... เล็กจิ๋วยิ่งสำหรับจักรวาล 
หากแต่มันก็ยังดูใหญ่แสนใหญ่ยิ่ง จนมันเกินกว่ากำลังของมนุษย์ตัวเล็ก ๆ เพียงไม่กี่หยิบมือจะลงมือหรือร้องขอความเห็นใจให้กับโลกใบนี้บ้างแม้สักนิดเดียว
กิน..... 
กาม.....
เกียรติ....
นี่ล่ะมั้ง! .. คือเรื่องสำคัญ
"เราตั้งใจว่าจะกลับมาเปิดบริษัทรับออกแบบและตกแต่งสวน กวินจะให้เราลงหุ้นร่วมกันกับบริษัทออกแบบตกแต่งภายในด้วยหรือเปล่า" 
ถอนใจเบา..ก่อนวกไปเปลี่ยนเรื่องคุย
"ก็ทำไมจะไม่ล่ะ ก็นั่นมันไม่ใช่เรื่องที่เราสองคนตกลงสัญญากันไว้ก่อนตะวันจะติดปีกบินปร๋อไปเรียนไกลถึงฝรั่งเศสหรอกหรือ"
กวินแอบลอบถอนหายใจบ้าง บอกตนเองไม่ถูกว่าควรโล่งใจกับน้ำเสียงเรียบ ๆ ที่ทำราวไม่ได้สนใจฟังสิ่งที่เขาเอ่ยก่อนหน้าได้หรือไม่ หรือควรหนักใจดี .. เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เขาพูดออกไปจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ไปกระทบใจคนที่ได้ยิน
และมันคงจะดีกว่าหากเขาจะไม่พูดถึงอีกเลย … ตลอดชีวิต
ความเป็นเพื่อนรักที่คบกันมาตั้งแต่เล็กจนโต มีหรือที่เขาจะไม่รู้ดีว่าภายใต้ท่าทีที่ไม่อาทรร้อนใจ ดูเรียบเรื่อยเฉยเมยกับสิ่งรอบข้าง มีบ่อยครั้งไป ที่เจ้าตัวพยายามจะไม่แสดงความอ่อนแอให้คนรอบข้างได้รับรู้เลย ซึ่งมันคงเป็นความหยิ่งทะนงอันเป็นนิสัยแอบแฝงของร้อยตะวันนั่นเอง
และแม้แต่เขาเองก็แทบไม่เคยคิดด้วยซ้ำ ว่าผู้ที่เพียบพร้อมแทบทุกอย่างมาตั้งแต่เกิดเช่นเธอคนนี้ จะมีวันผิดหวังในสิ่งใด จนกระทั่งวันหนึ่ง ซึ่งเขาไม่อาจตอบได้เต็มปากหรอกว่ามันเป็นเรื่องที่จะลืมกันอย่างง่ายดายเช่นที่หญิงสาวแสดง … หากแต่ลึกลงไปในใจเขาผู้เป็นเพื่อนย่อมรู้ดี!
ร้อยตะวันน่ะหรือ
เห็นบอบบาง...อ่อนแอ...จนบางคราวดูเหมือนราวคนอ่อนไหว .. 
แต่หัวใจของเธอมั่นคงยิ่งกว่า...ที่เจ้าตัวอาจจะไม่รู้ตัวเองเสียด้วยซ้ำ!