บทที่ 5
บัดนี้ .. เธอออกมาลำเลิกเบิกทวงบุญคุณ
ผู้เป็นสามีจึงได้แต่น้ำท่วมปาก
ถามว่าจะปฏิเสธได้หรือไม่? … เขาก็คงตอบว่า 'ได้' ...
เพราะไม่ว่าอย่างไร ความสุขทั้งชีวิตของผู้เป็นบุตรสาวสุดที่รักเพียงคนเดียวก็ย่อมจะสำคัญยิ่ง!!
... หากแต่มันติดตรงที่ …
ความกตัญญู .. รู้คุณคน
บางครั้งบางครา ..ทำไมมันจึงดูหนาหนัก
เสมือนราวกับเป็น 'โซ่ตรวน' อันหนักอึ้งให้แก่ผู้มิรู้อิโหน่อิเหน่อย่างไรก็ไม่รู้
ตาใหญ่กว้างของผู้สูงวัยแลกวาดกลับมามองยังผู้มีศักดิ์เป็นลูกชายในอุปการะอีกครั้ง
ผมดกหนาดำขลับ จมูกโด่งเป็นสันเห็นได้ชัด ... ก้มหน้าก้มตาอยู่ที่จานอาหาร แพขนตาหนายาวตรงล้อมกรอบดวงตายาวรี ที่คุณธันวาเจนใจว่ามักมีประกายซื่อตรง มุ่งมั่น ไม่ต่างไปจากบิดาผู้ซื่อสัตย์ของเขาเลยสักนิด
หากเป็นไปได้ .. เขาเองก็อยากที่จะรักษาสัญญาไว้ให้ได้ทั้งหมด
ภาพจำยังติดตา
... กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้ง ...
ท่ามกลางความมึนงง..เสียงเอะอะอลม่านและความยับเยิน
"ลูก..เมียพี่.."
แม้แต่เวลาที่ใกล้ละลมหายใจสุดท้าย .. คนเป็นหัวหน้าครอบครัวมิวายจะห่วงหาและกังวลถึง
"ฝากดูแล .. ด้วยนะครั .."
สิ้นคำสั่งเสียอ่อนเบาสุดท้ายที่กล่าวได้ .. ศีรษะชุ่มเลือดก็ตกห้อย พร้อมลมหายใจสุดท้ายที่ขาดหาย
แต่ ..
'ชีวิต' มันไม่ใช่สิ่งง่ายดายที่จะกำหนดหรือควบคุม
ดูอย่างเขาหรือ หากเป็นได้ เขาเองก็จะยินดีมากกว่าหาก 'สองพี่น้อง' จะรักใคร่ดูแล ห่วงใยกันและกันตลอดไป .. ไม่ว่าจะอย่างไรเสีย เขาก็เชื่อแน่ว่า
'เหมันต์ ... จะมิมีวันทอดทิ้งน้องน้อยของเขาแน่นอน'
แต่ดูหรือ …
มรสุมชีวิตก็กลับพัดพาคนที่ไม่เคยนึกอยากพึ่งพิงผู้ใด
สุดท้ายสายลมก็หอบซัดให้จำต้องไปหลบใต้ต้นตะบองเพชรแล้งน้ำ หนามแหลม อย่างคุณภิรมณ์เข้าให้จนได้ .. และหากคุณธันวาจะไม่คาดคิดมาก่อนว่าผู้ที่ต้องมารับกรรมชดใช้จะกลายมาเป็นบุตร สาวสุดรัก …
ในตอนนั้นเขาจะยังร้องขอความช่วยเหลือนั่นอีกไหม?
คำตอบหรือต่อให้ถึงเวลาจริง ๆ ที่ไม่ว่าจะอย่างไร .. คุณธันวาก็จำต้องเหลียวหันมามองบรรดาเหล่าลูกน้อง บริวารพนักงานบริษัทฯในปกครองของเขาด้วยอยู่ดี
'หนึ่ง .. หรือจะแลก .. หลาย'
สุดท้าย ... เขาก็ยังจำต้องเลือกฟางซ่อนหนามแหลมนั้นเอาไว้อยู่ดี!!
คนเป็นผู้นำ ...
จะเห็นแก่ตัว เห็นแก่ความสุขส่วนตนคนเดียว..ได้หรือ?
ลอบผ่อนลมหายใจหนัก ๆ อยู่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ แต่ตาก็ยังคงหยุดอยู่ที่หนุ่มน้อย
... รูปร่างสูงสง่า คล้ำเข้มขึ้น และแลดูจะซูบผอมลง …
ดวงหน้าหล่อเหลาคมสัน เงียบขรึม..มิใคร่จะอ่านเดาใจได้ง่ายดายนัก
แม้จะเห็นหน้ากันมาแต่เยาวัย วิ่งเล่น วิ่งไล่กันอยู่สองคนพี่..น้อง
คุณธันวาก็สุดที่จะเดาใจหนุ่มน้อยผู้เคร่งขรึมคนนี้ได้มากเท่าไหร่ เพราะพอหลังจากสิ้นคุณวรารัน 'เด็กชายเหมันต์' จากเด็กซุกซนที่เที่ยวมุดโน่น ปีนนี้นั่น ก็กลับเงียบขรึมขึ้นจนดูคล้ายกลายเป็นผู้ใหญ่ขึ้นทันตา
จำภาพติดตาของเด็กชายหุ่นเก้งก้าง ศีรษะเลี่ยนโล่งที่เพิ่งละออกมาจากชายผ้าเหลือง
.. ยืนกอดห่อกระดูกสีขาวของผู้เป็นมารดาอยู่แนบอก
... น้ำตาลูกผู้ชายไม่มีให้เห็นสักนิดหรอก …
... แต่ความหม่นหมองอาดูร มีหรือที่ใครจะไม่รู้สึก …
ความโดดเดี่ยวอ้างว้าง ดูราวกับจะเกาะกุมกลืนร่างเข้มเก้งก้างสูงโย่งให้หายไปจากหมู่ผู้เฝ้ามอง ..อาการนั้น.. เรียกความสลดหดหู่เหลือล้ำจนมิมีผู้ใดจะกล้ากล้ำกราย เพราะกลัวร่างผอมจะสลาย หายไปอีกคน
จะมีก็เพียงแต่เด็กหญิงสายธาร .. ที่เดินเข้าไปจับอีกมือที่ว่างเปล่าของพี่ชายเอาไว้เงียบ ๆ
'พี่ชาย' .. คงรู้สึกถึงความอบอุ่นนั่น จึงก้มหน้าลงมามอง 'น้องน้อย' นิ่ง .. นาน
นัยตาที่เคยแจ่มกระจ่างใส .. บัดนี้ดู .. โศก สลด ..
รับรู้ว่าต่อไปจะไม่มีอารันคนดีทำขนมสวย ๆ อร่อย ๆ ให้ .. ต่อไปจะไม่มีใครเดินมาตัดสินคดีความให้พี่น้อง.. และต่อไปก็จะไม่ได้ยินเสียงพร่ำบ่นหรือไล่ตะเพิดพี่ชายให้ไปอาบน้ำขัดขี้ไคลอีกต่อไปแล้ว
"อารันอยู่กับเรา ...ตรงนี้..."
น้องน้อย..เอื้อมมืออีกข้างที่อบอุ่นไม่แพ้มือที่ประทับมั่นบนมือใหญ่กว่า ... แตะ 'หัวใจ' ของพี่ชาย
คุณยมนาถึงกับน้ำตาร่วงเผาะ ... เพราะกั้นไม่อยู่
ในขณะที่ป้าแก้วต้องยกชายแขนเสื้อลูกไม้สีดำ แอบหันไปซับน้ำตา
"ที่เรือนทับทิม มีอะไรต้องแก้ไขเพิ่มเติมอีกบ้างไหม?"
คุณธันวาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาที่ต่างรับรู้กันอยู่เงียบ ๆ ว่าน่าอึดอัด .. แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็คงไม่มีทางเลี่ยงความจริงนี้กันไปไหนได้
เหมันต์อดไม่ได้ที่จะแว่บสายตาไปมองมือขาวนวล อ่อนบาง ที่ยังสามารถตักอาหารเข้าปากได้อย่างปกติ .. อาการนิ่งเฉยราวกับเรื่องที่กำลังคุยกันอยู่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอเลยแม้สักนิด
"ไม่มีปัญหาครับ เมื่อบ่าย ๆ ผมแวะเข้าไปดูรอบหนึ่งแล้ว กำแพงไม่มีรอยร้าว หลังคาไม่มีรอยน้ำหยด แปลว่าหลังคากับการปูพื้นของเรายังได้มาตราฐานตามที่คาดไว้ครับ"
เสียงทุ้มนุ่มรายงาน
"คืนนี้ผมจะตรวจแบบแปลนอีกครั้ง แล้วพรุ่งนี้เช้าจึงจะส่งแบบร่างการตกแต่งภายในที่ออกแบบไว้คร่าว ๆ ส่งไปให้ทีมคุณลุงเกลาแบบแปลนมาให้ใหม่ จากนั้นก็คงเริ่มลงมือกันได้เลย"
เหลือบตามองคนตรงข้าม .. สาวน้อยวางช้อน เพราะเพียงแค่คนเป็นพี่ชายขยับผ้าเช็ดริมฝีปาก บ่งบอกอาการว่า 'อิ่มแล้ว' คนเป็นน้องก็ขยับลุกเดินไปปรุงกาแฟ สักเดี๋ยวก็เดินกลับมาส่งแก้วสีคล้ำหอมกรุ่นเลื่อนให้
อีกครั้งที่คุณธันวากับคุณยมนา .. ลอบมองสบตากันอยู่เงียบ ๆ
... เสียดาย ...
"แล้ว..หมู่นี้ทำไมนายการันต์เขาไม่ค่อยแวะมาบ้างเลยคะ? คุณน้ำได้แอบไปแผลงฤทธิ์อะไรเงียบ ๆ ใส่เขาอยู่หรือเปล่า"
บิดาหันมาไถ่ถามหลังจากเพิ่งจะนึกได้ว่า .. ว่าที่เจ้าบ่าวของลูกสาวหายหน้าหายตาไปนานจะเกือบเดือนแล้วสินี่ และโดยที่ไม่วายจะเดาทางดักคอ เพราะย่อมรู้อิทธิฤทธิ์บุตรสาวได้ดีอยู่
สายธาร .. แม้บางครั้งจะชอบทำตัวงอแงราวเป็นเด็ก ๆ ที่มักจะถูกเลี้ยงดูกันอย่างตามใจ โวยวาย แง่งอนยามโกรธกรุ่น แต่ก็ยังไม่เคยดูน่ากลัวเท่ากับยามที่บุตรสาวทำท่าสงบ เฉยเมย ไม่ใส่ใจ เพราะท่าทีเช่นนี้ช่างเดาใจได้ยากยิ่ง
พอ ๆ กันกับพี่ชายของเธออีกนั่นแหละ
บัดนี้ .. เธอออกมาลำเลิกเบิกทวงบุญคุณ
ผู้เป็นสามีจึงได้แต่น้ำท่วมปาก
ถามว่าจะปฏิเสธได้หรือไม่? … เขาก็คงตอบว่า 'ได้' ...
เพราะไม่ว่าอย่างไร ความสุขทั้งชีวิตของผู้เป็นบุตรสาวสุดที่รักเพียงคนเดียวก็ย่อมจะสำคัญยิ่ง!!
... หากแต่มันติดตรงที่ …
ความกตัญญู .. รู้คุณคน
บางครั้งบางครา ..ทำไมมันจึงดูหนาหนัก
เสมือนราวกับเป็น 'โซ่ตรวน' อันหนักอึ้งให้แก่ผู้มิรู้อิโหน่อิเหน่อย่างไรก็ไม่รู้
ตาใหญ่กว้างของผู้สูงวัยแลกวาดกลับมามองยังผู้มีศักดิ์เป็นลูกชายในอุปการะอีกครั้ง
ผมดกหนาดำขลับ จมูกโด่งเป็นสันเห็นได้ชัด ... ก้มหน้าก้มตาอยู่ที่จานอาหาร แพขนตาหนายาวตรงล้อมกรอบดวงตายาวรี ที่คุณธันวาเจนใจว่ามักมีประกายซื่อตรง มุ่งมั่น ไม่ต่างไปจากบิดาผู้ซื่อสัตย์ของเขาเลยสักนิด
หากเป็นไปได้ .. เขาเองก็อยากที่จะรักษาสัญญาไว้ให้ได้ทั้งหมด
ภาพจำยังติดตา
... กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้ง ...
ท่ามกลางความมึนงง..เสียงเอะอะอลม่านและความยับเยิน
"ลูก..เมียพี่.."
แม้แต่เวลาที่ใกล้ละลมหายใจสุดท้าย .. คนเป็นหัวหน้าครอบครัวมิวายจะห่วงหาและกังวลถึง
"ฝากดูแล .. ด้วยนะครั .."
สิ้นคำสั่งเสียอ่อนเบาสุดท้ายที่กล่าวได้ .. ศีรษะชุ่มเลือดก็ตกห้อย พร้อมลมหายใจสุดท้ายที่ขาดหาย
แต่ ..
'ชีวิต' มันไม่ใช่สิ่งง่ายดายที่จะกำหนดหรือควบคุม
ดูอย่างเขาหรือ หากเป็นได้ เขาเองก็จะยินดีมากกว่าหาก 'สองพี่น้อง' จะรักใคร่ดูแล ห่วงใยกันและกันตลอดไป .. ไม่ว่าจะอย่างไรเสีย เขาก็เชื่อแน่ว่า
'เหมันต์ ... จะมิมีวันทอดทิ้งน้องน้อยของเขาแน่นอน'
แต่ดูหรือ …
มรสุมชีวิตก็กลับพัดพาคนที่ไม่เคยนึกอยากพึ่งพิงผู้ใด
สุดท้ายสายลมก็หอบซัดให้จำต้องไปหลบใต้ต้นตะบองเพชรแล้งน้ำ หนามแหลม อย่างคุณภิรมณ์เข้าให้จนได้ .. และหากคุณธันวาจะไม่คาดคิดมาก่อนว่าผู้ที่ต้องมารับกรรมชดใช้จะกลายมาเป็นบุตร สาวสุดรัก …
ในตอนนั้นเขาจะยังร้องขอความช่วยเหลือนั่นอีกไหม?
คำตอบหรือต่อให้ถึงเวลาจริง ๆ ที่ไม่ว่าจะอย่างไร .. คุณธันวาก็จำต้องเหลียวหันมามองบรรดาเหล่าลูกน้อง บริวารพนักงานบริษัทฯในปกครองของเขาด้วยอยู่ดี
'หนึ่ง .. หรือจะแลก .. หลาย'
สุดท้าย ... เขาก็ยังจำต้องเลือกฟางซ่อนหนามแหลมนั้นเอาไว้อยู่ดี!!
คนเป็นผู้นำ ...
จะเห็นแก่ตัว เห็นแก่ความสุขส่วนตนคนเดียว..ได้หรือ?
ลอบผ่อนลมหายใจหนัก ๆ อยู่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ แต่ตาก็ยังคงหยุดอยู่ที่หนุ่มน้อย
... รูปร่างสูงสง่า คล้ำเข้มขึ้น และแลดูจะซูบผอมลง …
ดวงหน้าหล่อเหลาคมสัน เงียบขรึม..มิใคร่จะอ่านเดาใจได้ง่ายดายนัก
แม้จะเห็นหน้ากันมาแต่เยาวัย วิ่งเล่น วิ่งไล่กันอยู่สองคนพี่..น้อง
คุณธันวาก็สุดที่จะเดาใจหนุ่มน้อยผู้เคร่งขรึมคนนี้ได้มากเท่าไหร่ เพราะพอหลังจากสิ้นคุณวรารัน 'เด็กชายเหมันต์' จากเด็กซุกซนที่เที่ยวมุดโน่น ปีนนี้นั่น ก็กลับเงียบขรึมขึ้นจนดูคล้ายกลายเป็นผู้ใหญ่ขึ้นทันตา
จำภาพติดตาของเด็กชายหุ่นเก้งก้าง ศีรษะเลี่ยนโล่งที่เพิ่งละออกมาจากชายผ้าเหลือง
.. ยืนกอดห่อกระดูกสีขาวของผู้เป็นมารดาอยู่แนบอก
... น้ำตาลูกผู้ชายไม่มีให้เห็นสักนิดหรอก …
... แต่ความหม่นหมองอาดูร มีหรือที่ใครจะไม่รู้สึก …
ความโดดเดี่ยวอ้างว้าง ดูราวกับจะเกาะกุมกลืนร่างเข้มเก้งก้างสูงโย่งให้หายไปจากหมู่ผู้เฝ้ามอง ..อาการนั้น.. เรียกความสลดหดหู่เหลือล้ำจนมิมีผู้ใดจะกล้ากล้ำกราย เพราะกลัวร่างผอมจะสลาย หายไปอีกคน
จะมีก็เพียงแต่เด็กหญิงสายธาร .. ที่เดินเข้าไปจับอีกมือที่ว่างเปล่าของพี่ชายเอาไว้เงียบ ๆ
'พี่ชาย' .. คงรู้สึกถึงความอบอุ่นนั่น จึงก้มหน้าลงมามอง 'น้องน้อย' นิ่ง .. นาน
นัยตาที่เคยแจ่มกระจ่างใส .. บัดนี้ดู .. โศก สลด ..
รับรู้ว่าต่อไปจะไม่มีอารันคนดีทำขนมสวย ๆ อร่อย ๆ ให้ .. ต่อไปจะไม่มีใครเดินมาตัดสินคดีความให้พี่น้อง.. และต่อไปก็จะไม่ได้ยินเสียงพร่ำบ่นหรือไล่ตะเพิดพี่ชายให้ไปอาบน้ำขัดขี้ไคลอีกต่อไปแล้ว
"อารันอยู่กับเรา ...ตรงนี้..."
น้องน้อย..เอื้อมมืออีกข้างที่อบอุ่นไม่แพ้มือที่ประทับมั่นบนมือใหญ่กว่า ... แตะ 'หัวใจ' ของพี่ชาย
คุณยมนาถึงกับน้ำตาร่วงเผาะ ... เพราะกั้นไม่อยู่
ในขณะที่ป้าแก้วต้องยกชายแขนเสื้อลูกไม้สีดำ แอบหันไปซับน้ำตา
"ที่เรือนทับทิม มีอะไรต้องแก้ไขเพิ่มเติมอีกบ้างไหม?"
คุณธันวาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาที่ต่างรับรู้กันอยู่เงียบ ๆ ว่าน่าอึดอัด .. แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็คงไม่มีทางเลี่ยงความจริงนี้กันไปไหนได้
เหมันต์อดไม่ได้ที่จะแว่บสายตาไปมองมือขาวนวล อ่อนบาง ที่ยังสามารถตักอาหารเข้าปากได้อย่างปกติ .. อาการนิ่งเฉยราวกับเรื่องที่กำลังคุยกันอยู่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอเลยแม้สักนิด
"ไม่มีปัญหาครับ เมื่อบ่าย ๆ ผมแวะเข้าไปดูรอบหนึ่งแล้ว กำแพงไม่มีรอยร้าว หลังคาไม่มีรอยน้ำหยด แปลว่าหลังคากับการปูพื้นของเรายังได้มาตราฐานตามที่คาดไว้ครับ"
เสียงทุ้มนุ่มรายงาน
"คืนนี้ผมจะตรวจแบบแปลนอีกครั้ง แล้วพรุ่งนี้เช้าจึงจะส่งแบบร่างการตกแต่งภายในที่ออกแบบไว้คร่าว ๆ ส่งไปให้ทีมคุณลุงเกลาแบบแปลนมาให้ใหม่ จากนั้นก็คงเริ่มลงมือกันได้เลย"
เหลือบตามองคนตรงข้าม .. สาวน้อยวางช้อน เพราะเพียงแค่คนเป็นพี่ชายขยับผ้าเช็ดริมฝีปาก บ่งบอกอาการว่า 'อิ่มแล้ว' คนเป็นน้องก็ขยับลุกเดินไปปรุงกาแฟ สักเดี๋ยวก็เดินกลับมาส่งแก้วสีคล้ำหอมกรุ่นเลื่อนให้
อีกครั้งที่คุณธันวากับคุณยมนา .. ลอบมองสบตากันอยู่เงียบ ๆ
... เสียดาย ...
"แล้ว..หมู่นี้ทำไมนายการันต์เขาไม่ค่อยแวะมาบ้างเลยคะ? คุณน้ำได้แอบไปแผลงฤทธิ์อะไรเงียบ ๆ ใส่เขาอยู่หรือเปล่า"
บิดาหันมาไถ่ถามหลังจากเพิ่งจะนึกได้ว่า .. ว่าที่เจ้าบ่าวของลูกสาวหายหน้าหายตาไปนานจะเกือบเดือนแล้วสินี่ และโดยที่ไม่วายจะเดาทางดักคอ เพราะย่อมรู้อิทธิฤทธิ์บุตรสาวได้ดีอยู่
สายธาร .. แม้บางครั้งจะชอบทำตัวงอแงราวเป็นเด็ก ๆ ที่มักจะถูกเลี้ยงดูกันอย่างตามใจ โวยวาย แง่งอนยามโกรธกรุ่น แต่ก็ยังไม่เคยดูน่ากลัวเท่ากับยามที่บุตรสาวทำท่าสงบ เฉยเมย ไม่ใส่ใจ เพราะท่าทีเช่นนี้ช่างเดาใจได้ยากยิ่ง
พอ ๆ กันกับพี่ชายของเธออีกนั่นแหละ