วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

MY SWEET LADY : น้องน้อยที่รัก ✿❧ บทที่ 8 [last sample]

นิยายแต่งจบแล้วค่ะ กดรับ link ที่รูปภาพนี้เลยนะคะ สู้ๆ

บทที่ 8

เส้นแนวนอน


คนเป็นน้องที่นั่งอยู่มุมระเบียง..ก้มหน้าเรียงของว่างง่วน
"พี่ไม่รู้ว่าคุณน้ำจะกลับมาได้เร็ว ไม่งั้นจะโทรฯชวนไปเดินดูหนังสือ มีหนังสืออ่านเล่นออกมาใหม่ตั้งหลายเล่ม พี่ไปเดินดูสีน้ำมา เห็นหนังสือเต็มชั้น ยังนึกถึงตลอดว่าคุณน้ำมาเห็นจะต้องได้หอบกลับหลายเล่ม" 
คนเป็นพี่ที่ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนตำบลไหน ก็ดูท่าทางว่าจะระลึกถึงน้องน้อยอยู่เสมอเช่นกัน ฉะนั้น ร่างบางจึงหันมายิ้มให้จนตายิบหยี 
"วันนี้แค่ไปส่งรายงานน่ะค่ะ ก็เลยได้กลับบ้านเร็วหน่อย เรื่องหนังสือนอกเวลา คุณน้ำยังอ่านหนังสือตำราเรียนตัวเองไม่รอดเลยค่ะ ไว้สอบเสร็จจะแวะไปดู"
"โธ่ .. ซื้อเก็บไว้สิคะ พอสอบเสร็จค่อยทยอยเอามาอ่านทีหลังก็ได้ รู้หรือเปล่าว่าหนังสือเค้าซื้อมาเก็บเอาไว้ได้นานนะ ... มันไม่บูด"
พี่ชายอารมณ์ดีพอที่จะหยอกล้อน้องสาวเล่น
น้องสาวละมือจากถาดของว่าง รินน้ำมะตูมที่แช่เย็นฉ่ำ ยื่นจาน ยื่นแก้วส่งให้พี่ชายจิบได้ชื่นใจ
"ไม่บูดก็ดีค่ะ คุณน้ำจะได้เก็บไว้ลวกให้พี่ต้นจิ้มกินคู่กับน้ำพริก" 
"หนังสือนะคะ!! ไม่ใช่ผักกระเฉด จะได้เอามาลวกจิ้มกินกะน้ำพริกได้"
ครานี้คนหน้าเข้มครามแดดยิ้มกว้างขวาง
"ไปเถอะเรียกเด็กยกสำรับมาค่ะ .. พี่หิวจะแย่ล่ะ"
"แหน๊ะ!! ไหนเมื่อกี้บอกว่าไปกินกับเพื่อนมาแล้วนี่"
"โธ่!! พี่แค่กินเป็นมารยาท อีกอย่างต่อให้กินมาอิ่ม ๆ แต่กว่าจะขับรถถึงบ้าน ไอ้ข้าวปั้นชูซิคำกระติ๋ว ๆ มันก็ละลายหมดท้องละ!" ปากพูด มือหยิบซ้อมเงินเล็ก ๆ จิ้มข้าวเกรียบปากหม้อเข้าปาก เคี้ยวผักอยู่กร้วม ๆ
"ชูชก" น้องสาวค้อน
"ดีนะเป็นชูชกไม่อดอยาก ดีกว่าเป็นนางกินรอ้อนแอ้น อรชร ผอมแห้ง แรงกระจ้อยอย่างคุณน้ำน่ะ ถามซิ? จะผอมจนจะปลิวไปไหน? ป้าแก้วชงลมให้ทานตอนเช้าหรือไร ดูเถอะ! บางจนจะเบาเป็นกระดาษล่ะ"
สุดท้ายก็ไม่วายจะวกมาห่วงคนน้องอีกจนได้ เพราะกลับมาคราวนี้ น้องสาวผอมซูบจนดูราวเด็กสาวตัวซีดบาง ที่แทบจะจางไปกับอากาศ
ป้าแก้วมองภาพ และฟังถ้อยคำสนทนาห่วงหาอาทรที่มีต่อกันและกันแล้วก็อดอึ้ง อัดอั้นอะไรอยู่ในใจมิได้ ดังนั้น เมื่อเหล่าบรรดาลูกมือเงยหน้าขึ้นมาจึงเห็นคนเป็นแม่นมและเป็นทั้งแม่บ้านมีสีหน้ามองแล้วก็เดาใจไม่ถูก แต่สุดท้ายผู้สูงวัยก็ลอบถอนหายใจอีกครา
"ไปไป๊! นี่มีใครเดินไปยกสำรับอาหารมาให้คุณ ๆ กันหรือยัง?" ป้าแก้วพยักเพยิกหน้า เด็กที่นั่งกันอยู่ยังไม่ทันตอบ สาวใช้อีกคนก็เดินกลับเข้ามาพร้อมสำรับอาหาร .. เครื่องเคียงพร้อมแล้ว
"บะหมี่ต้มยำกุ้ง เมื่อวานคุณต้นบ่นอยากกิน เพราะพอคุณน้ำอวดว่ามีเกี๊ยว คนขี้อิจฉาเลยบ่นบ้าง ป้าเตรียมไว้ล่ะ กินให้หมดเชียวนะคะพ่อชูชก ป้าหรืออุตส่าห์ทำ .. ไหนบ่นว่าอดอยากปากหมอง แต่กลับดอดไปคีบข้าวปั้นญี่ปุ่น .. ปล่อยน้องนั่งชะเง้อมองทางไปเถอะ!" 
ไม่รู้บ่นเผื่อแทนใครด้วยหรือเปล่าสิน่า!!
"อ้าว!! .. ทีนี้เลยรุมงอนผมกันใหญ่เลย" 
คนหน้าคร้ามทำหน้าละห้อย
"ก็น่าจะงอนไหมล่ะคะ โทรศัพท์ก็มีติดอยู่กับตัว จะโทรฯบอกกันก่อนก็น่าจะได้ ดูสิคุณน้ำคอยจนหิวโงกเลย"
"คุณน้ำไม่ได้หิว"
พอพี่ชายจะโดนดุโดนบ่นเพราะตน คนเป็นน้อง .. จะไม่รีบปกป้องได้หรือ?
"คุณน้ำกำลังเล่นแคะขนมเพลินนี่คะ เลยไม่หิวอย่างที่บอก" 
"ฝึกทำกับข้าว .. ทำขนมอะไรได้กี่อย่างแล้วคะ?" 
คนถามเพิ่งเดินกลับมาจากไปล้างมือเตรียมร่วมโต๊ะ
ตั่งเตี้ยถูกยกนำมาวาง อาหารถูกลำเลียง ลูกชิ้นปลากรายที่ทำเป็นรูปปลาตัวเล็ก ๆ ที่สมัยยามเป็นเด็ก .. เด็กหญิงสายธารมักส่งเสียงเจื้อยแจ้ว
'ปลาเอ๋ย ปลากราย .. ว่ายยยยยน้ำไป ว่ายยยยยน้ำมา พอป้าแก้วมา ปลากรายก็กลายไปเป็นลูกชิ้นซะแล้วเอย' (จะแต่งเพลงไร้สัมผัสแบบไหนก็ได้ แต่สุดท้ายต้องให้มันลงด้วยคำว่า 'เอย' แล้วเพลงนั้นจะไพเราะทันที - อันนี้พี่ต้นบอก) 
มีเสียงท่อนสร้อย อิ๋ง ๆ ๆ ซึ่งเป็นเพลงแต่งเองหงุงหงิง พร้อมกับซ้อมที่ตรงปลายจิ้มไว้ด้วยลูกชิ้นรูปตัวปลา ทำท่าส่ายไปก็ส่ายมา เหมือนมันกำลังว่ายน้ำตามจังหวะ แล้วต่อมาก็จะตามด้วยเสียง ...
'พี่ต้น! ชูชกอะ!! ขโมยลูกชิ้นคุณน้ำไมคะ?!!' 
คนน้องตะกายเอามือง้างปากพี่ชายจะชิงลูกชิ้นคืน
'ใครว่าพี่ขโมย พี่เห็นปลามันว่ายไปก็ว่ายมา ไม่น่าจะมีเจ้าของ ก็เลยงาบเสียเลยไง หมั่นไส้!!'
คำท้ายพี่ชายปรายตา ... กลายเป็นความผิดน้องสาวไปได้อีกคดี?
"หลายอย่างค่ะ" 
คำตอบเรียบเรื่อย .. ไม่บ่งบอกอารมณ์ของผู้เอ่ยตอบได้ในแบบใด ๆ
สาวใช้เลื่อนชามบะหมี่หอมกรุ่น น้ำข้นคลั่ก กุ้งนางตัวแดง หมึกลวกเป็นชิ้น ๆ ที่กรีดบั่งขึ้นลาย ระเอียดยิบ อีกทั้งเครื่องเคียง เครื่องปรุงมาวางพร้อมพรัก .. เหมันต์นั่งเฉย ไม่ยอมหยิบตะเกียบ ไม่แม้แต่ จะจับผสมเครื่องปรุง สายธารปรายตามองแวบเดียว ก่อนหยิบโน่นปรุงนี้ใส่บะหมี่ในชามตนเองเฉย .. ในขณะที่ร่างสูงคมสัน หันมองโน่นนี่นั่น โน้นนี้นั้นไปตามเรื่อง .. สุดท้ายมือบางต้องวางตะเกียบ เลื่อนชามของคนตรงข้ามมาโรยเครื่องปรุง .. ก่อนส่งกลับ 
คนรับจับตะเกียบ ... คีบเคี้ยวกินตุ้ย ๆ
"พี่ปรุงเองไม่ค่อยอร่อยน่ะ ขนาดกาแฟ พอไปอยู่โน่น คนอื่นชงให้หรือลงทุนชงเอง รสชาติก็ยังจะไม่ค่อยถูกปากตัวเองเอาซะเลย" 
คนเล่า ... เล่าได้เรื่อย 
คนฟังแสร้งทำเฉยเสีย
"หากคุณน้ำได้ไปอยู่โน่น เจอแต่อาหารบ้านป่า คนเรื่องมากปากบาง เลือกกิน .. ป่านนั้นคงนั่งก้มหน้าร้องไห้ตายเลย" 
เมื่อยามต้องอยู่ห่างไกล ความในใจ ความโหยหา ที่แม้แต่เรื่องเล็กน้อยของคนที่ตนมักคิดถึง จึงเผลอหลุดพูดออกมาให้คนชราสูงวัย สูงประสบการณ์กว่า ต้องแอบทอดถอนใจกันอีกครั้ง
"คุณน้ำไม่ได้เลือกกินนะคะ คนที่เลือกน่ะ ตะกี้เพิ่งบ่นว่าแม้แต่กาแฟยังไม่ค่อยจะถูกปาก" 
ตวัดคมค้อนขว้างใส่พี่ชาย
คนเป็นพี่ยิ้มกว้างได้อีก เพราะเจ้าของร่างเล็กบางตัวขาวที่นั่งก้มหน้าก้มตาคีบบะหมี่ของตัวเองเฉยเมย .. ทำราวไม่ใส่ใจ 
แต่ทว่า .. ทุกคำที่พี่พูด น้องน้อยจะเฝ้าสงสัยและใส่ใจยิ่ง
"ตะกี้พี่ต้นก็ว่า กินแต่อาหารบ้านป่า .. ทำไมคะ? ที่นั่นไม่มีภัตตาคาร ร้านอาหาร หรือห้างสรรพสินค้าที่พอจะแวะเข้าไปฝากท้องได้บ้างเลยหรือ?"
"แหม .. เวลาพี่รับงาน ที่ทำงานส่วนใหญ่มักเป็นตามป่าตามเขานี่ บางที บางแห่งก็ยังจะไม่ทันพัฒนา รู้ไหม? .. ที่ต่างจังหวัดบางจังหวัด ขับรถออกไปไม่ทันจะพ้นตัวเมืองดีเลย ไฟฟ้า น้ำปะปาก็ยังไม่มีจะใช้ บางบ้านที่พี่แวะผ่านไปเจอ ยังจะใช้ตะเกียงกันอยู่ก็มีนะ" 
คนเล่า..เล่าด้วยสีหน้าสีตาจริงจัง แต่คนฟังชักจะระแวง
"เดี๋ยวนี้มีโซล่าเซลล์ใช้แล้วนะคะ .. พี่ต้นรู้ยัง?" 
ตั้งคำถาม .. ที่ถ้าหากถามกันยามเป็นเด็ก น้องสาวคงได้รับรางวัลนักสงสัยดีเด่นเป็น 'มะเหงก' เขกโป๊งเหน่งจากพี่ชายเป็นแน่แท้
"ราคายังแพงอยู่ ชาวป่าชาวเขาที่เขาทำไร่ข้าวโพดไว้เลี้ยงสัตว์ ปลูกมะเขือกิโลละแค่สามบาทสี่บาท จะเอาตังค์ไหนมาซื้อกัน"